สไลด์โชว์

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความเชื่อคนโบราณ


ผี : ความเชื่อ



คติความเชื่อเรื่องผีเป็นคติความเชื่อที่มีอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคน ซึ่งพยายามหาคำตอบในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ผีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์มีความผูกพันกันและได้แสดงพฤติกรรมร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี

ผี ในทัศนคติของชาวบ้านเป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้ให้ความหมายหรืออาจกล่าวได้ว่า ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยระบบประสาททั้งห้า หากมันเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ที่ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมระดับชาวบ้าน แม้แต่ในราชสำนักไทยแต่เดิมพิธีกรรมต่าง ๆ ก็มีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปปะปนอยู่มาก ความเชื่อเรื่องภูติผีนั้นฝังแน่นอยู่กับคตินิยมของคนไทยอย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่สมัยอดีต แม้แต่ทางบ้านเมืองก็ยังมีพระราชพิธีเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติผีอยู่ไม่น้อย ในรอบปีหนึ่ง ๆ เช่น การเซ่นสรวงพระเสื้อเมือง พระทรงเมืองและหลักเมือง รวมทั้งพิธีสอบสวนคดีความสมัยอดีตโดยใช้พิธีลุยไฟ ดำน้ำ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลย ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวเป็นความเชื่อในภูติผีวิญญาณทั้งสิ้น แม้แต่สมัยกรุงสุโขทัยซึ่งศาสนาพุทธกำลังเจริญรุ่งเรือง การนับถือผีสางก็ยังนิยมกันอยู่ ปัจจุบันในท้องถิ่นอีสานบางแห่งความเชื่อเรื่องผีก็ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชุมชนอยู่มาก

สำหรับคนอีสาน ผีคือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทราบว่ามีมาแต่เมื่อใดหรือมีมาอย่างไร ผีเหล่านี้ประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ เช่น ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้าน ผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น ผีปอบ ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา จนแทบจะแยกกันไม่ออกว่าพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนา หรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อเรื่องผี

ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานเข้ามาผูกพันในการประกอบอาชีพ ซึ่งว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน การทำนาอันเป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับสภาพของธรรมชาติดินฟ้าอากาศ จะได้ผลหรือไม่ได้ผลขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และสิ่งที่นับว่ามีความสำคัญต่อการทำนาก็คือน้ำ น้ำที่ได้จากน้ำฝน ซึ่งชาวอีสานเชื่อว่ามีผีเป็นผู้คอยบันดาลให้ฝนตก ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ มีน้ำเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอำนาจดลบันดาลของผีแถน ก่อนลงมือทำนาเมื่อย่างเข้าฤดูฝนจึงต้องมีพิธีกรรมขอฝนจากผีแถน เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีน้ำมากพอที่จะได้ทำนา เมื่อได้น้ำฝนแล้ว ก่อนลงมือหว่านข้าวกล้าก็จะมีพิธีไหว้ผีระจำที่นา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าผีตาแฮก เพื่อข้าวกล้าจะได้เจริญงอกงามไม่ถูกรบกวนจากศัตรูข้าว ได้ข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิต เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็มีพิธีสู่ขวัญลานนวดข้าว สู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคลมีข้าวได้พอกินตลอดปี ก่อนที่จะถึงฤดูกาลทำนาในปีต่อไป ซึ่งล้วนแต่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับผีทั้งสิ้น

ผีเป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจเหนือธรรมชาติที่ชาวอีสานให้ความสำคัญมาก เพราะผีผูกพันอยู่กับการดำเนินชีวิต พอแรกเกิดชีวิตก็ผูกพันกับผีทันที คือมีพิธีการสู่ขวัญเด็กแรกเกิด เพื่อให้ผีที่เชื่อว่าเป็นผีร้ายไม่ให้มาทำลายชีวิตที่จะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า และให้ผีที่ดีมาคุ้มครองปกปักรักษาให้เป็นคนดีมีความเจริญ มีวิถีทางในการดำเนินชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า เมื่อเจริญวัยขึ้นการดำเนินชีวิตตามฮีตตามคอง อันเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของชาวอีสานแต่อดีต ความเชื่อเรื่องผีก็เข้าไปมีบทบาทอยู่มาก ในหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเมื่อถึงวัยอันควรที่จะมีชีวิตคู่เข้าสู่พิธีแต่งงาน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะดูว่าชายที่จะมาเป็นลูกเขย มีความประพฤติเป็นอย่างไร ตามฮีตตามคองหรือไม่ ประพฤติตัวผิดผีหรือไม่ เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงพิจารณาเป็นที่พอใจแล้วก็จะจัดให้มีพิธีแต่งงาน ในพิธีแต่งงานนั้นช่วงหนึ่งจะมีพิธีบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้ทราบว่าชายหญิงคู่นี้จะใช้ชีวิตร่วมกัน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผีปู่ย่าตายายจงมารับรู้ มาปกปักรักษาให้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองมีการครองเรือนที่มีแต่ความสุข อย่าให้ความทุกข์มากล้ำกราย แม้ถึงคราวเจ็บป่วยความเชื่อเรื่องผีก็เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยชาวอีสานจะพิจารณาจากอาการ จากลักษณะของโรคที่เป็นแยกออกเป็นสองลักษณะคือ โรคที่เกิดจากพยาธิหรือเชื้อโรคนั่นหมายถึงเป็นโรคที่เกิดจากธรรมชาติ ต้องหายามารักษาซึ่งอาจได้จากสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไปหรือยาจากสาธารณสุข และถ้าไม่ใช่โรคที่เกิดจากธรรมชาติก็เกิดจากการกระทำของภูติผี หรือว่าคนป่วยไปกระทำการอันใดอันหนึ่งที่เป็นการผิดผีมา ก็จะมีวิธีการรักษาอีกแบบหนึ่ง คือใช้นางเทียม (ผู้ทรงผีฟ้า) เข้าประทับทรงติดต่อกับผีสอบถามว่าผู้ป่วยได้กระทำการอันใดที่เป็นการผิดผีหรือไม่ ถึงได้สำแดงให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น เมื่อทราบจากนางเทียมว่าผู้ป่วยไปกระทำการอันใดที่เป็นการผิดผี ก็ให้ผู้ป่วยไปแก้ไขตรงจุดนั้น ด้วยการแต่งพิธีกรรมเพื่อขอขมาบูชาเซ่นสรวง ซึ่งบางรายก็หายจากการเจ็บป่วยจริง ๆ ก็มี อาจเป็นเพราะความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่ทำให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยก็เป็นได้

อำนาจเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผียังเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวอีสานแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อมีคนตายชาวอีสานจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการส่งวิญญาณของผู้ที่จากไปให้ไปสู่ภพที่มีแต่ความสงบสุข ดินแดนที่ชาวอีสานเชื่อว่ามีความสงบสุขก็คือสวรรค์ จากความเชื่อที่ว่าถ้าได้ทำบุญให้ผู้ตายแล้ว ผู้ตายจะไปมีสุขอยู่บนสวรรค์น่าจะส่งผลมายังญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง คือช่วยให้คลายทุกข์โศกจากการจากไปของญาติที่เสียชีวิต ถึงแม้เขาจะจากไปแต่ก็ไปพบกับความสุขอยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข สงบ สบาย แม้ผู้ตายจะตายไปนานแล้วก็ตาม ชาวอีสานก็ยังมีความเอื้ออาทรต่อผู้ตาย คือยังมีพิธีกรรมในฮีตเดือนเก้า การทำบุญข้าวประดับดินเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ให้ยังคงได้รับความสุขอยู่บนสวรรค์ โดยเชื่อว่าผีผู้ตายสามารถที่จะรับเอาส่วนบุญนี้ได้

ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา ไร่ นา และหมู่บ้าน สังเกตได้จากการมีพิธีกรรมทำบุญให้ผีอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็จะมีการบนบานขอขมาต่อภูติผีวิญญาณ เพื่อเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจของตนกลับคืนมา เปรียบเสมือนผีคืออำนาจเหนือธรรมชาติ ชาวอีสานมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา มีภูติผีวิญญาณสิงสถิตอยู่ซึ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ ในทัศนะเช่นนี้เป็นการเอื้อต่อการดำเนินชีวิตให้มีความสมดุลย์ในสังคมอีสาน ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ความเชื่อเรื่องผีในสังคมอีสานคล้ายกับกฎหมายในปัจจุบัน คนอีสานจึงยึดถือปฏิบัติตามฮีตสอบสองคองสิบสี่ ซึ่งหมายถึงบรรทัดฐานแห่งการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน อันมีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มาก

ความเชื่อเรื่องผีมีความผูกพันกับชีวิตของคนอีสานตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เกี่ยวข้องกับชีวิตตลอดเวลา อำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีผีเป็นตัวแทน จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของวิถีชีวิตชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งอดีต ผีทำให้ชาวอีสานดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเดี่ยวกันด้วยความราบรื่น สงบสุข โดยไม่ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีศาลมาคอยตัดสินคดีถึงสิ่งถูกผิด ความเชื่อเรื่องผีและฮีตคองในท้องถิ่นจะเป็นสิ่งที่ชี้ว่า อย่างนั้นดีอย่างนี้ไม่ดี ความเชื่อเรื่องผีความสำคัญอาจจะไม่อยู่ที่ผี แต่อยู่ที่ “ จิตสำนึกของมนุษย์ ” ก็เป็นได้












คาถารักแท้

โอมนะโมพุทธายะ พุทธัง สะระติ ธัมมัง สะระติ สังฆัง สะระติ
จิตตังสะมาเรมะมะเอทิ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ



ให้บริกรรมคาถานี้กับลูกอมแล้วอมขณะที่คุยกับคนที่เรารัก จะทำให้เขาคนนั้นเกิดความรักจริงจังขึ้นมา


คติความเชื่อโบราณ




อย่าเคาะจานข้าว

เวลารับประทานอาหาร โบราณท่านถือว่า ห้ามเคาะจานข้าว เพราะจะเป็นการเรียนวิญญาณที่พเนจร เมื่อได้ยินเสียงเราเคาะจาน ก็จะพากันมาแย่งเรากินข้าว กินอาหารคาวหวานท่านต้องเคยเห็นเวลาเราไหว้ศพ หรือไหว้วันสำคัญ เราจะจัดชุดสำหรับพวกผีไม่มีญาติ และทำพิธิเรียกมากิน โดยใช้การเคาะถ้วยชาม ดังนั้นผู้ใหญ่จึงถือมาก ห้ามลูกหลานเคาะจานชามเวลากินข้าว




กลางคืนห้ามกวาดบ้าน

การกวาดบ้านเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากของคนไทย แทบทุกบ้าน จะต้องกวาดบ้าน แต่…ในอเมริกาใช้การดูดฝุ่นแทน เพราะพื้นบ้านเขานั้นปูพรม จึงไม่มีคำโบราณห้ามไว้ว่า "ห้ามดูดฝุ่นตอนกลางคืน" แต่สำหรับคนไทยนั้น โบราณถือกันมาก "การกวาดบ้านกลางคืน" เพราะการกวาดบ้านตอนกลางคืนนั้นจะ "กวาดเงินกวาดทองออกจากบ้าน" แต่… จริงๆ ผมคิดว่า คนโบราณสอนให้ลูกหลาน ระวังของมีค่าจะถูกกวาดทิ้งไป เพราะกลางคืนสมัยก่อนมืดมาก ไม่มีไฟฟ้าใช้สว่างไสวเหมือนทุกวันนี้ งดได้ก็ดีนะครับ เพราะการกวนบ้านกลางคืนมันไม่เหมาะสมทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะกลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน !!



เผาศพวันศุกร์

"วันศุกร์" เป็นวันแห่งโชคลาภ วันแห่งความร่มเย็นมีความสุข "วันศุกร์" จึงเหมาะแก่งานมงคลมากกว่า เช่น แต่งงานขึ้นบ้านใหม่ หรือฉลองพิธีต่างๆ จึงไม่นิยมจัดงานอัปมงคลกันในวันศุกร์ ดังนั้น….วันศุกร์ งดการเผาศุกร์ เพราะ…เป็นการให้ทุกข์กับคนเป็น ผู้คนส่วนมากจึงนิยมแต่งงานในวันศุกร์ และไม่มีงานเผาศพในวันศุกร์ "วัน"….ก็มีความสำคัญกับการดำรงชีวิตของมนุษย์.....



คาถาใจอ่อน

ปัญจะมังสิระสังชาตัง นะอตใจ นะกาโร โหติ สัมภะโว
ตรีนิกัตวานะ นะ การัง ปัญจะสัมภะวัง



ใช้ท่องก่อนที่จะพบเจรจากับคนที่เป็นเจ้าหนี้หรือใครก็ตาม จะทำให้ได้รับการ

คาถามนต์รัก

โอม นะ ปะ โร รันนะขุเภติ
พุทธัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
ธัมมัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
สังฆัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา



ใช้ภาวนากับดอกไม้ก่อนที่จะส่งให้กับคนรัก เมื่อเขาหรือเธอสูดดมดอกไม้ก็จะรักเราตอบ





คาถาขุนแผน

เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ



ใช้ท่องกับของใช้ส่วนตัวอะไรก็ได้แล้วจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่หลงไหล



คาถามหาเสน่ห์

จันโท อะภิกันตะโร
ปิติ ปิโย เทวะมนุสสานัง
อิตถิโย ปุริโส
มะ อะ อุ อุ มะ อะ อิสวาสุ อิกะวิติ



ให้ภาวนาคาถานี้ ๓ จบก่อนออกไปพบคน จะทำให้คนที่ต้องไปพบเกิดความรักใคร่



เรื่อง เล่าเรื่องผี




เด็กออทิสติก


เด็กออทิสติกคือใคร


คำภาษาต่างประเทศคำนี้ สำหรับบุคคลทั่วไปอาจไม่คุ้นเคย แต่สำ หรับบุคคลที่เกี่ยวข้อง อาทิบิดามารดา ผู้ปกครอง ครู นักการศึกษา และนักวิชาชีพ คงต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนและลึกซึ้งเพื่อที่จะ ได้รู้จัก เข้าใจธรรมชาติ ลักษณะ บุคลิก จุดเด่น จุดอ่อน และพฤคิกรรม ของเด็ก อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือในแนวทางที่ถูกต้อง

คำว่า ออทิสติก หรือ ออทิสซึม (Autism) เป็นคำที่ใช้เรียกพฤติกรรม หรืออาการที่เกิดขึ้น มาจากภาษากรีก มีรากศัพท์มาจากคำว่า Auto หรือ Self แปลว่า ตัวเอง ทางการแพทย์ถือว่า ออทิซึม เป็นภาวะความผิด ปกติทางพัฒนาการอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้งด้านภาษา การสื่อสาร การมีปฏิ สัมพันธ์ทางสังคม และพฤติกรรม โดยจะปรากฏให้เห็นได้ในระยะ 3 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจาก ความผิดปกติทางหน้าที่ของระบบประสาทบางส่วน

ดังนั้น ศ.พญ.เพ็ญแข ลิ่มศิลา จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงนิยามว่า เด็กออทิสติก คือเด็กที่มีความผิดปกติทางพัฒนาการด้านสังคม ภาษา และการสื่อความ หมาย พฤติกรรมอารมณ์ และจินตนาการ ซึ่งมีสาเหตุเนื่องมาจากการทำ งานในหน้าที่บางส่วนของสมองผิดปกติไป และความผิดปกตินี้จะพบได้ ก่อนวัย 30 เดือน

ในทางการศึกษาพิเศษ เด็กออทิสติก จัดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ กลุ่มหนึ่ง กระบวนการในการช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้กระบวนการหนึ่ง คือ การศึกษา ซึ่งหมายรวมถึง ตั้งแต่การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม การเตรียม ความพร้อม การจัดการศึกษาพิเศษ การเรียนร่วม จนถึงการเตรียมความ พร้อมด้านอาชีพ

ลักษณะอาการ




The Diagnosis and Statistical Manual, 4th Edition 1994 (DSM IV) ได้อธิบายลักษณะอาการไว้พอสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้


ความบกพร่องทางปฏิสัมพันธ์สังคม

เด็กมีความบกพร่องในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่มองสบตา ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า กิริยาท่าทาง จึงไม่มี ความสา มารถที่จะผูกสัมพันธ์กับใคร เล่นกับเพื่อนไม่เป็น ไม่สนใจที่จะทำงานร่วมกับ ใคร มักจะอยู่ในโลกของตัวเอง


ความบกพร่องทางการสื่อสาร

เป็นความบกพร่องทั้งด้านการใช้ภาษา ความเข้าใจภาษา การสื่อสาร และสื่อ ความหมาย ด้านการใช้ภาษา เด็กจะมีความล่าช้าทางภาษาและการพูดใน หลายระดับ ตั้งแต่ไม่สามารถพูดสื่อความหมายได้เลย หรือบางคนพูดได้ แต่ไม่สามารถสนทนาโต้ตอบกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจและเหมาะสม บางคน จะมีลักษณะการพูดแบบเสียงสะท้อน หรือการพูดเลียนแบบ ทวนคำพูด หรือบางคนพูดซ้ำแต่ในเรื่องที่ตนเองสนใจ การใช้ภาษาพูดมักจะสลับ สรรพนาม ระดับเสียงที่พูด อาจจะมีความผิดปกติ บางคนพูดเสียงใน ระดับเดียว


ลักษณะทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่บกพร่อง

เด็กออทิสติกจะมีพฤติกรรมซ้ำๆ ผิดปกติ เช่น เล่นมือ โบกมือไปมา หรือหมุน ตัวไปรอบๆ ยึดติดไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน มีความสนใจ แคบ มีความหมกมุ่นติดสิ่งของบางอย่าง เด็กบางคนแสดงออกทางอารมณ์ ไม่เหมาะสมกับวัย บางครั้งร้องไห้ หรือหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล บางคนมี ปัญหาด้านการปรับตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยจะอาละ วาด หรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น ร้องไห้ ดิ้น กรีดร้อง


ความบกพร่องด้านการเลียนแบบและจินตนาการ

บางคนมีความบกพร่องด้านการเลียนแบบ เด็กบางคนต้องมีการกระตุ้นอย่าง มาก จึงจะเล่นเลียนแบบได้ เช่น เลียนแบบการเคลื่อนไหว การพูด บางคน ไม่สามารถเลียนแบบได้เลยแม้แต่การกระทำง่ายๆ จากากรขาดทักษะการ เลียนแบบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเล่น ทำ ให้เด็กขาดทักษะการเล่น
ในด้านจินตนาการ ไม่สามารถแยกเรื่องจริง และเรื่องสมมุติ ประ ยุกต์วิธีการจากเหตุการณ์หนึ่งไปอีกเหตุการณ์หนึ่งไม่ได้ เข้าใจสิ่งที่เป็น นามธรรมได้ยาก เล่นสมมุติไม่เป็น จัดระบบความคิด ลำดับความสำคัญ ก่อนหลัง การวางแผน การคิดจินตนาการจากภาษาได้ยาก ซึ่งส่งผล ต่อการเรียน


ความบกพร่องด้านการเรียนรู้ทางประสาทสัมผัส

การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 การรับรู้ทางสายตา การตอบสนองต่อการฟัง การสัมผัส การรับกลิ่นและรส มีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางคน ชอบมองวัตถุหรือแสงมากกว่ามองเพื่อน ไม่มองจ้องตาคนอื่น บางคนเอา ของมาส่องดูใกล้ๆ ตา บางคนตอบสนองต่อเสียงผิดปกติ เช่น ไม่ หันตามเสียงเรียกทั้งที่ได้ยิน บางคนรับเสียงบางเสียงไม่ได้ จะปิดหู ด้านการสัมผัส กลิ่นและรส บางคนมีการตอบสนองที่ไว หรือช้ากว่า หรือ แปลกกว่าปกติ เช่น ดมของเล่น หรือเล่นแบบแปลกๆ


ความบกพร่องด้านการใช้อวัยวะต่างๆ อย่างประสานสัมพันธ์

การใช้ส่วนต่างๆ ของร่ากาย รวมถึงการประสานสัมพันธ์ของกลไก กล้าม เนื้อมัดใหญ่และมัดเล็กมีความบกพร่อง บางคนมีการเคลื่อนไหวที่ งุ่มง่าม ผิดปกติ ไม่คล่องแคล่ว ท่าทางการเดิน หรือการวิ่งดูแปลก การใช้กล้าม เนื้อมัดเล็ก การหยิบจับ เช่นช้อนส้อม ไม่ประสานกัน


ลักษณะอื่นๆ

เด็กออทิสติกบางคนจะมีลักษณะพฤติกรรมอยู่ไม่สุขตลอดเวลา ในขณะที่ บางคนมีลักษณะเชื่องช้า งุ่มง่าม บางคนแทบไม่มีความรู้สึกตอบ สนองต่อความเจ็บปวด เช่น ดึงผม หรือหักเล็กตนเองโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวด


อย่างไรก็ตาม ลักษณะอาการข้างต้น เป็นภาพรวมของเด็กออทิสติก แต่ไม่ ได้หมายความว่าเด็กออทิสติกทุกคนต้องมีลักษณะทั้งหมดนี้ เด็กบางคนอาจ มีเพียงบางลักษณะ และระดับความมากน้อยก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

อีกประการหนึ่ง ในเด็กบางคนจะมีลักษณะพิเศษ กิจกรรมบางอย่างทำได้ ดีมาก เช่น สามารถบวกเลขในใจจำนวนมากๆ ได้อย่างรวดเร็ว บางคนมี ทักษะทางเครื่องยนต์กลไก หรือบางคนสามารถเปิดปิดเครื่องเล่นวิดีโอเทป ได้ก่อนที่จะพูดได้เสียอีก ทั้งนี้ถือเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล



สภาพที่เป็นข้อจำกัดต่อการเรียนรู้ของเด็กออทิสติก


ข้อจำกัดของเด็กออทิสติกที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ มีหลายประการ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้


ข้อจำกัดด้านภาษาและการสื่อความหมาย
ภาษาประกอบด้วย ความเข้าใจและการพูด การสื่อความหมาย ได้แก่ การแสดง ออกด้วยกิริยาท่าทาง เพื่อส่งสารให้ผู้อื่นเข้าใจเจตนาของตน ข้อจำกัดด้านนี้จึงส่งผลที่สำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก


ข้อจำกัดด้านสังคมและอารมณ์
อาทิการปรับตัวเข้ากับกลุ่ม การมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม การควบคุมอารมณ์มารอยู่ร่วม หรือทำกิจกรรมกับกลุ่ม ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ ของเด็ก


ข้อจำกัดด้านพฤติกรรมและพฤติกรรมซ้ำ
เด็กออทิสติกบางคน มีปัญหาพฤติกรรม เช่น ความสนใจสั้น หรือที่เรียกว่า สมาธิสั้น หรือ บางคนมีพฤติกรรมซ้ำๆ เป็นพฤติกรรมการกระตุ้นตนเอง เช่น เล่นนิ้วมือตลอดเวลา ส่งเสียงอยู่ ในลำคอตลอดเวลา ทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้จำกัด


ข้อจำกัดด้านการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส
การตอบสนองหรือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่ผิดปกติ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการรับรู้และ เรียนรู้ของเด็ก เช่น การแยกความเหมือนหรือความแตกต่างด้วยสายตา ย่อมส่งผลกระทบ ต่อการอ่าน


ข้อจำกัดด้านการคิดอย่างมีจินตนาการ
จินตนาการ เป็นการคิดต่อยอดและขยายผล หากเด็กมีข้อจำกัดด้านนี้ การเรียนรู้ย่อม เป็นไปได้ไม่เต็มที่


ข้อจำกัดด้านการเรียนรู้
ในเด็กออทิสติกบางคน ระดับความสามารถในการเรียนรู้ เช่น ทักษะการสังเกต การจับคู่ การจัดลำดับ และอื่นๆ มีความจำกัด ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้เชิงวิชาการ


ข้อจำกัดด้านพัฒนาการทางกายบางด้าน
การไม่ประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมือและตา ความไม่คล่องแคล่วของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ การเคลื่อนไหวทางร่างกายที่ดูไม่สมดุล เช่น งุ่มง่าม ทำให้เด็กขาดทักษะการเคลื่อนไหว ทำให้การเรียนรู้บางด้านที่ต้องใช้ทักษะด้านนี้มีความจำกัด เช่น งานการประดิษฐ์ที่มีความ ละเอียด


สาเหตุการเกิด





ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงสาเหตุของการเกิดภาวะออทิซึม แต่มีข้อสันนิษฐานว่า มีปัจ จัยหลายประการที่ส่งผลให้ การทำงานในหน้าที่ต่างๆ ของสมองไม่สมบูรณ์แบบหลายประการ เช่น ทางชีววิทยา ปัจจัยด้านความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง ความผิดปกติของสมองด้าน การทำงาน การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ หรือขณะคลอด (ดังแผนภูมิด้านบน)



อัตราการเกิด


หากถือการวินิจฉัยตามเกณฑ์ข้อบ่งชี้พฤติกรรมผิดปกติของษมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ครั้งที่ 3 และ 4 (DSM III, IV) จะพบในสัดส่วนประมาณ 4 หรือ 5 คน ในเด็ก 10,000 คน

หากการวินิจฉัยใช้เกณฑ์ "ภาวะออทิสติก สเปคตรัม" หรือรวมกลุ่มแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม จะ พบในสัดส่วน 21 ถึง 36 คน ในเด็ก 10,000 คน โดยลักษณะอาการเช่นนี้ ต้องพบก่อนเด็กอายุ 3 ปี และสามารเกิดในเด็กทุกเชื้อชาติ สัญชาติ ฐานะ เพศ แต่ส่วนใหญ่จะพบในเด็กชายมากกว่า เด็กหญิง กล่าวคือในเด็กที่มีอาการออทิสซึ่ม 5 คน จะพบว่าเป็นเด็กผู้ชาย 4 คน ผู้หญิง 1 คน



ระดับอาการออทิสติก


ระดับอาการของบุคคลออทิสติก อาจจำแนกระดับอาการกว้างๆ ได้ 3 ระดับ ดังนี้

ระดับกลุ่มที่มีอาการน้อย
เรียกว่า กลุ่ม Mild autism หรือบางครั้งเรียก กลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูง (high-function ing autism) ซึ่งจะมีระดับสติปัญญาปกติ หรือสูงกว่าปกติ มีพัฒนาการทางภาษาดีกว่ากลุ่มอื่น แต่ยังมีความบกพร่องในทักษะด้านสังคม การรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของบุคคลอื่น ในปัจจุบัน มีผู้เรียกเด็กกลุ่มนี้อีกชื่อหนึ่งว่า แอสเพอร์เกอร์ - Asperger Syndrome ตามชื่อแพทย์ผู้ค้น พบ ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นทางวิชาการ ในการแจวรายละเอียดของปัญหาเพื่อกำหนดแนวทาง การช่วยเหลือที่ชัดเจนขึ้น แต่โดยสภาพพื้นฐานความต้องการจำเป็นทั้งกลุ่มออทิสติกที่มีศักย ภาพสูง กับกลุ่ม แอสเพอร์เกอร์ ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก


ระดับกลุ่มที่มีอาการปานกลาง
เรียกว่า กลุ่ม Moderate autism ในกลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในพัฒนาการด้านภาษาการสื่อสาร ทักษะสังคม การเรียนรู้ รวมทั้งด้านการช่วยเหลือตนเอง และมีปัญหาพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง พอสมควร


ระดับกลุ่มที่มีอาการรุนแรง
เรียกว่ากลุ่ม Severe autism ในกลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในพัฒนาการเกือบทุกด้าน และอาจ เกิดร่วมกับภาวะอื่น เช่น ปัญญาอ่อนรวมทั้งมีปัญหาพฤติกรรมที่รุนแรง




วิธีสังเกตเด็กออทิสติก


การสังเกตว่าเด็กคนใด มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่า เป็นเด็กที่มีภาวะออทิสติกหรือไม่ เครื่องมือใช้ ตรวจสอบ คือ แบบสังเกตพฤติกรรม

เมื่อผู้ปกครอง พาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์จะดำเนินกระบวนตามสภาพความต้องการ ของเด็กแต่ละคน ซึ่งพอประมวลสรุปขั้นตอนได้ ดังนี้

แพทย์ซักถาม สัมภาษณ์ บิดามารดา หรือผู้ดูแล ถึงพฤติกรรมต่างๆ
ส่งตรวจสอบการได้ยิน เพื่อทดสอบระบบการได้ยิน
ส่งตรวจสอบทางการแพทย์อื่น ตามความจำเป็นและเหมาะสม
วินิจฉัยเพื่อการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือ
ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดู รวมทั้งกำหนดโปรแกรม
ให้ยา ตามความจำเป็นของพฤติกรรม


ในฐานะของครูหรือบิดามารดา ผู้ปกครอง อาจตรวจสอบพฤติกรรมเบื้องต้นของเด็กในความ ดูแลด้วยตนเองได้ และนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกตไปขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับ คำปรึกษาเพิ่มเติม

บทความนี้นำเสนอแบบตรวจสอบง่ายๆ ในลักษณะการตรวจรายการพฤติกรรม ซึ่งพัฒนาจากแบบสังเกตของ

1 Dr. Je. Gillaim "Autism Rating Scale" 1989
2 Dr. Rendle Shot Bisbane Children's Hospital, University of Queensland, Australia, 1997

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักว่า การวินิจฉัยภาวะออทิซึม จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะเป็นผู้วินิจฉัย

แบบตรวจสอบที่นำเสนอ เพื่อช่วยให้ครูหรือบิดามารดา สามารถสังเกตพฤติกรรมที่น่าสงสัยของ เด็กเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือระยะเริ่มแรกได้ โดยเครื่องมือนี้เน้น การสังเกตพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง



แบบตรวจสอบพฤติกรรมเด็กออทิสติก
คำชี้แจง


สังเกตพฤติกรรมแล้วบันทึกลงในช่องที่พบ โยพฤติกรรมดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำ เสมอเป็นประจำ โดยใส่เครื่องหมาย a(ถูก) เมื่อพบ และใส่เครื่องหมาย X (ผิด)เมื่อไม่พบ
การรวมคะแนน หากคะแนนที่พบเกิน 12 คะแนน มีแนวโน้มน่าสงสัย
แบบตรวจสอบพฤติกรรมนี้ ใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือ ระยะเริ่มแรกเท่านั้น ไม่ใช่การวินิจฉัย


ชื่อผู้รับการสังเกต …………………………………………….

ชื่อผู้สังเกต …………………………………………………

วันที่สังเกต ………………………………………………..

รายการ


ก. พฤติกรรมทางสังคม


ไม่มองสบตา
ไม่ชอบการโอบกอด
ไม่เลียนแบบการเล่นของเด็กอื่น
มองผ่านหรือมองคนอื่นเหมือนไม่รับรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น
แยกตัวออกจากกลุ่ม
ยึดมั่นเรื่องที่สนใจเรื่องเดียว
รู้สึกวิตกกังวลเมื่อเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำ
เรียงลำดับวัตถุในแบบเดิมๆ หากมีการเคลื่อนย้ายจะไม่พอใจ
หัวเราะหรือร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล
ซนผิดปกติหรือนั่งนิ่งผิดปกติ
ชอบเล่นหมุนวัตถุ ปั่นวัตถุ

ข. การสื่อความหมาย


ไม่สามารถพูดออกเสียงเป็นคำที่มีความหมาย
ใช้ท่าทางแทนที่จะใช้คำพูดเมื่อต้องการสิ่งใด
พูดเลียนเสียงผู้พูด ทวนคำหรือวลี
พูดคำซ้ำต่างๆ จากหนังสือหือสิ่งที่เคยได้ยินมา เช่นพูดตามโฆษณาทีวี ไม่
ไม่สามารถเริ่มต้นบทสนทนากับเพื่อหรือผู้ใหญ่ได้
ไม่ตอบสนองเสียงเรียก ทำคล้ายไม่ได้ยิน

ค. พฤติกรรมการกระตุ้นตนเอง


มีพฤติกรรมซ้ำๆ
สะบัดนิ้วมือหรือเล่นมือประจำ
จ้องมองมือหรือวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบตัวครั้งละ 5 วินาที หรือนานกว่านั้น
หมุนตัว นั่ง หรือโยกตัวไปมาเป็นวงกลม
นั่งหรือยืนโยกหน้า โยกหลัง
เดินเขย่งปลายเท้า
วิ่งถลาหรือพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง

เปิดใจ "กัน" เดอะสตาร์คนล่าสุด !!


ตอนนี้เราก็ทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าใครคือ เดอะสตาร์คนล่าสุดของเวทีนี้ นั่นก็คือ ''กัน'' นภัทร อินทร์ใจเอื้อ ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 3 เขาสามารถครองใจผู้ชมทั้งประเทศได้หลังจากทราบผลว่า ''กัน'' นภัทร อินทร์ใจเอื้อ คือเดอะสตาร์คนล่าสุด หนุ่มสุพรรณคนนี้เปิดใจพร้อมกับอาการงงๆ ที่เราเข้าใจว่าคงยังช็อกกับผลคะแนนที่เกินคาดและขอมอบรางวัลนี้ให้คุณพ่อ ที่มีความฝันอยากให้ลูกชายเป็นนักร้องซึ่งวันนี้ ''กัน'' เองก็สามารถทำให้ทั้งฝันของตัวเอง และคุณพ่อเป็นจริง

ความรู้สึกวินาทีแรกที่ได้ยินชื่อเราว่าเป็นเดอะสตาร์?

''รู้สึกลอย ว่าฝันไปรึป่าว และดีใจมากๆ ที่เป็นกันและรู้สึกภาคภูมิใจมากๆครับ''

มีใครที่อยากจะขอบคุณบ้าง?

''ก็อยากขอบคุณพ่อ คุณแม่ คุณอา และครอบครัว และทุกกำลังใจจากแฟนคลับทุกๆ คนครับ''

เมื่อคืนนอนหลับไหม?

''นอนไม่หลับครับ คือกันไม่ได้คิดว่าวันนี้จะเป็นยังไง เพราะว่าเมื่อวานนี้เราทำเต็มที่เรารู้สึกว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้ร้องเพลงบนเวทีเดอะสตาร์''

วันนี้เต็มที่ขนาดไหน?

''ก็ตั้งแต่วินาทีแรกที่ออกมาอ่ะครับ เพราะวันนี้เห็นคนดูมากันเยอะมาก คือไม่เคยเห็นคนดูเยอะขนาดนี้ ตื่นเต้นมากๆ และวันนี้ตั้งแต่เพลงแรกก็ร้องอย่างเต็มที่''

คุณพ่อ, แม่ว่าไงบ้าง?

''แม่ก็บอกว่าเก่งมาก ส่วนพ่อเมื่อกี้ก็หอมแก้มแม่ คือไม่ได้เจอคุณแม่มานาน แล้ววันนี้ได้เจอได้กอดก็ชื่นใจครับ''

แล้วได้บอกไรท่านบ้าง?

''ก็บอกว่าวันนี้กันทำได้แล้วนะ กันได้เป็นเดอะสตาร์แล้วนะ''

ตั้งความหวังไว้ยังไงหลังจากเมื่อปีที่แล้วเราพลาด?

''มันเป็นสิ่งที่เกินความฝันมากๆ คือปีที่แล้วกันก็มาประกวดแบบว่าหาประสบการณ์ และสิ่งที่ได้มาคือเราแพ้มา และกันคิดว่าปีนึงที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้ได้ลุกขึ้นสู้พยายามได้เรียนร้องเพลงมามันทำให้กันรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากๆ กับการที่ทำให้กันได้มายืนตรงนี้มีวินาทีที่ยิ่งใหญ่ได้เป็นเดอะสตาร์''

มองอนาคตต่อไปยังไงบ้าง?

''อนาคตคือทำทุกวันให้ดีที่สุดครับ คือรู้ว่าต่อไปต้องมีงานที่หนักขึ้น และต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนเพราะตอนนี้เราก็เป็นคนของประชาชนแล้วด้วยครับ''

รางวัลนี้จะเอาไปเก็บไว้ไหนหรือให้ใครรึเปล่า?

''ก็อยากมอบถ้วยนี้ให้คุนพ่อ คุนแม่ครับเพราะคุณพ่อก็สอนเราร้องเพลงมาแต่เด็กครับ เพราะเขาก็มีความฝันว่าอยากให้ลูกเป็นนักร้อง คือกันก็บอกคุณพ่อว่ากันอยากเป็นนักร้องกันชอบร้องเพลงวันนี้ลูกชายคุณพ่อทำได้แล้วก็จะเอารางวัลนี้ไปให้คุณพ่อคุณแม่''

หนุ่มหน้ามนคนสุพรรณคนนี้เป็นหนุ่มชาวจังหวัดสุพรรณบุรีโดยกำเนิด เกิดวันที่ 23 ตุลาคม 2533 อายุ 20 ปี ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปีที่ 1
และเป็นคนที่รักการร้องเพลง และฝันอยากจะมีผลงานเพลงเป็นของตัวเอง

หลังจากทราบผลว่า ''กัน'' นภัทร อินทร์ใจเอื้อ คือเดอะสตาร์คนล่าสุด หนุ่มสุพรรณคนนี้เปิดใจพร้อมกับอาการงงๆ ที่เราเข้าใจว่าคงยังช็อกกับผลคะแนนที่เกินคาดและขอมอบรางวัลนี้ให้คุณพ่อ ที่มีความฝันอยากให้ลูกชายเป็นนักร้องซึ่งวันนี้ ''กัน'' เองก็สามารถทำให้ทั้งฝันของตัวเอง และคุณพ่อเป็นจริง

ความรู้สึกวินาทีแรกที่ได้ยินชื่อเราว่าเป็นเดอะสตาร์?

''รู้สึกลอย ว่าฝันไปรึป่าว และดีใจมากๆ ที่เป็นกันและรู้สึกภาคภูมิใจมากๆครับ''

มีใครที่อยากจะขอบคุณบ้าง?

''ก็อยากขอบคุณพ่อ คุณแม่ คุณอา และครอบครัว และทุกกำลังใจจากแฟนคลับทุกๆ คนครับ''

เมื่อคืนนอนหลับไหม?

''นอนไม่หลับครับ คือกันไม่ได้คิดว่าวันนี้จะเป็นยังไง เพราะว่าเมื่อวานนี้เราทำเต็มที่เรารู้สึกว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้ร้องเพลงบนเวทีเดอะสตาร์''

วันนี้เต็มที่ขนาดไหน?

''ก็ตั้งแต่วินาทีแรกที่ออกมาอ่ะครับ เพราะวันนี้เห็นคนดูมากันเยอะมาก คือไม่เคยเห็นคนดูเยอะขนาดนี้ ตื่นเต้นมากๆ และวันนี้ตั้งแต่เพลงแรกก็ร้องอย่างเต็มที่''

คุณพ่อ, แม่ว่าไงบ้าง?

''แม่ก็บอกว่าเก่งมาก ส่วนพ่อเมื่อกี้ก็หอมแก้มแม่ คือไม่ได้เจอคุณแม่มานาน แล้ววันนี้ได้เจอได้กอดก็ชื่นใจครับ''

แล้วได้บอกไรท่านบ้าง?

''ก็บอกว่าวันนี้กันทำได้แล้วนะ กันได้เป็นเดอะสตาร์แล้วนะ''

ตั้งความหวังไว้ยังไงหลังจากเมื่อปีที่แล้วเราพลาด?

''มันเป็นสิ่งที่เกินความฝันมากๆ คือปีที่แล้วกันก็มาประกวดแบบว่าหาประสบการณ์ และสิ่งที่ได้มาคือเราแพ้มา และกันคิดว่าปีนึงที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้ได้ลุกขึ้นสู้พยายามได้เรียนร้องเพลงมามันทำให้กันรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากๆ กับการที่ทำให้กันได้มายืนตรงนี้มีวินาทีที่ยิ่งใหญ่ได้เป็นเดอะสตาร์''

มองอนาคตต่อไปยังไงบ้าง?

''อนาคตคือทำทุกวันให้ดีที่สุดครับ คือรู้ว่าต่อไปต้องมีงานที่หนักขึ้น และต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนเพราะตอนนี้เราก็เป็นคนของประชาชนแล้วด้วยครับ''

รางวัลนี้จะเอาไปเก็บไว้ไหนหรือให้ใครรึเปล่า?

''ก็อยากมอบถ้วยนี้ให้คุนพ่อ คุนแม่ครับเพราะคุณพ่อก็สอนเราร้องเพลงมาแต่เด็กครับ เพราะเขาก็มีความฝันว่าอยากให้ลูกเป็นนักร้อง คือกันก็บอกคุณพ่อว่ากันอยากเป็นนักร้องกันชอบร้องเพลงวันนี้ลูกชายคุณพ่อทำได้แล้วก็จะเอารางวัลนี้ไปให้คุณพ่อคุณแม่''

สุดท้ายนี้อยากจะฝากอะไรไปถึงคนดูทั้งประเทศ?

''อยากขอบคุนมากๆ กับทุกกำลังใจที่โหวตให้กันมาโดยตลอด และกันก็จะมอบความสุขแบบนี้ให้กับทุกๆ คนตลอดไป และก็ขอบคุณทุกอย่างจริงๆ ที่ทำให้กันได้เป็นเดอะสตาร์ในวันนี้ ขอบคุณจริงๆ ครับ''

ก็เพราะความสามารถที่ติดตัวมาของหนุ่มคนนี้ บวกกับการมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นนักร้องจึงทำให้ความฝันของ ''กัน'' นภัทร อินทร์ใจเอื้อ เป็นจริงกับตำแหน่ง ''เดอะสตาร์คนที่ 6'' ของมืองไทย
''อยากขอบคุนมากๆ กับทุกกำลังใจที่โหวตให้กันมาโดยตลอด และกันก็จะมอบความสุขแบบนี้ให้กับทุกๆ คนตลอดไป และก็ขอบคุณทุกอย่างจริงๆ ที่ทำให้กันได้เป็นเดอะสตาร์ในวันนี้ ขอบคุณจริงๆ ครับ''

ก็เพราะความสามารถที่ติดตัวมาของหนุ่มคนนี้ บวกกับการมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นนักร้องจึงทำให้ความฝันของ ''กัน'' นภัทร อินทร์ใจเอื้อ เป็นจริงกับตำแหน่ง ''เดอะสตาร์คนที่ 6'' ของมืองไทย

สดุดี พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา วีรบุรุษสู้โจรใต้


นับเป็นข่าวเศร้าของวงการสีกากี และประเทศชาติ ที่ต้องสูญเสียนายตำรวจมือดี ผู้เสียสละต่อสู้กับโจรใต้มาเป็นเวลาหลายปี อย่าง พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ จ่าเพียร ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา

โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ต้องพลีชีพจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดไว้ใต้ถนน ระหว่างที่รถของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา แล่นผ่านมา ขณะเดินทางไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ก่อนที่ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา จะเสียชีวิต เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว และมีลูกน้องอีก 3 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส

ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เพิ่งตกเป็นข่าว หลังเข้าร้องเรียนกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงเรื่องความไม่เป็นธรรมของการโยกย้ายข้าราชการตำรวจ แต่ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา กลับต้องมาจบชีวิตลงก่อนจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ วันนี้กระปุกดอทคอม จึงจะพาไปย้อนประวัติของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เพื่อไว้อาลัยและสดุดีวีรบุรุษคนกล้ากันค่ะ

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เป็นชาวสงขลา ได้รับฉายาหลายชื่อ เช่น "จ่าเพียร นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด" ,"จ่าเพียรมือปราบ" และ "จ่าเพียรขาเหล็ก" ซึ่งหมายถึง การที่ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ยึดการลาดตระเวนด้วยเท้าเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ จนปัจจุบันแม้จะมียศเป็น พ.ต.อ.แต่ชาวบ้านก็ยังเรียก "จ่าเพียร"

โดย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เข้ารับราชการครั้งแรก หลังจบโรงเรียนตำรวจภูธร 9 เมื่อปี พ.ศ.2513 และเป็น ผบ.หมู่ ผ.สภ.บันนังสตา มาตลอด ขณะปฏิบัติราชการนั้น พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผ่านการปะทะกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนับร้อยครั้ง วิสามัญคนร้ายได้นับร้อยศพ จนเป็นที่กลัวเกรงของกลุ่มคนร้าย และทำให้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา มีชื่อเสียงในแวดวงตำรวจ

จากนั้นในปี พ.ศ.2519 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ซึ่งยศในขณะนั้นคือ จ.ส.ต.สมเพียร เอกสมญา ถูกกับระเบิดที่ขาซ้ายจนเกือบขาด ขณะต่อสู้กับกลุ่มโจรก่อการร้าย นายลาเต๊ะ เจาะบันตัง แต่ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ก็เอาชีวิตมาได้ ต่อมาในปี พ.ศ.2526 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ถูกคนร้ายยิงในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา จนได้รับบาดเจ็บกระสุนฝังใน

ด้วยความเก่งกล้าและจัดเป็นตำรวจฝีมือชั้นเยี่ยม ทำให้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดี และเหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร (ร.ม.ก.) จนกระทั่งกรมตำรวจ (ในสมัยนั้น) อนุมัติให้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เข้าอบรมหลักสูตรนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก และได้เลื่อนขั้น พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เป็น ร.ต.ต. ก่อนจะย้ายให้ไปประจำการอยู่ที่ จ.สงขลา
ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2550 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา จะถูกเรียกตัวกลับมาเป็น ผกก.สภ.บันนังสตา เพื่อปราบปรามกลุ่มโจรใต้ที่ก่อเหตุรายวัน ซึ่ง พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ก็ใช้ประสบการณ์ที่มีปราบปรามคนร้ายและวิสามัญได้ถึง 19 ราย และยึดอาวุธสงครามได้เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ก็ถูกกลุ่มคนร้ายลอบโจมตีมาโดยตลอดเช่นกัน

ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 คนร้ายได้วางแผนลอบวางระเบิดหลายจุด เพื่อล่อให้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา นำกำลังเดินทางเข้าไปที่เกิดเหตุ ก่อนที่คนร้ายจะลอบวางระเบิดรถกระบะที่นั่งอยู่ แต่เดชะบุญครั้งนั้น พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

ขณะที่ทางครอบครัวของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เกิดความวิตกว่า พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา จะไม่ปลอดภัย จึงได้ถือเคล็ดเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น "ภูวพงษ์พิทักษ์" เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ก็ขอกลับมาใช้นามสกุลเดิม

จากนั้นในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้เดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.สว.ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นความจำนงขอพิจารณาโยกย้ายเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง พื้นที่ของ บช.ภาค 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ ในปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา ครั้งนั้นผู้กำกับกระดูกเหล็ก ถึงกับหลั่งน้ำตา และเปิดใจว่า...

"รับราชการตำรวจมาร่วม 40 ปี และใช้ชีวิตอยู่ใน สภ.บันนังสตา มานานตั้งแต่สมัยชั้นประทวน ต่อสู้กับคนร้ายจนรอดตายมาหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็หลายหน ครั้งนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และเป็นปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ จึงขอโยกย้ายออกนอกพื้นที่ไปอยู่บ้านภรรยาที่ตรัง และผู้บังคับบัญชารับปากจะพิจารณาให้ย้ายไปที่โรงพักดังกล่าว แต่พอคำสั่งแต่งตั้งมาปรากฎว่าไม่ได้ย้าย คงอยากจะทำเรื่องขอพระราชทานยศ พล.ต.อ.ให้ตนตอนตายแล้วมากกว่า" พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เคยตัดพ้อไว้


แต่แล้วในวันที่ 12 มีนาคม ตำนาน "จ่าเพียร" มือปราบแห่งบันนังสตา ก็ต้องปิดฉากลงอย่างน่าเศร้า เมื่อ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ถูกคนร้ายลอบวางระเบิดรถกระบะ คันเดียวกับที่ถูกวางระเบิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จน พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ขาหักทั้งสองข้าง ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลาในที่สุด ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว ประชาชนชาวบันนังสตา และเพื่อนร่วมงานของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อีกหลายคน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ทำให้อดคิดถึงคำพูดตัดพ้อน้อยใจคำหนึ่งของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ที่เคยกล่าวเอาไว้ และไม่มีใครคาดคิดว่าคำกล่าวนั้นจะกลายมาเป็นความจริง โดย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พูดไว้ว่า...

"ผมอยากกลับบ้านให้ลูกและภรรยาสบายใจในช่วงสุดท้ายของชีวิตราชการ แม้จะให้ยศพลตำรวจเอกผมก็ไม่อยากได้ ถ้าหากกลับบ้านแบบมีธงชาติคลุม"

ทีมงานเว็บไซต์กระปุกดอทคอม จึงขอสดุดีวีรกรรมของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ที่ช่วยรักษาปกป้องบ้านเมืองจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตมา ณ ที่นี้ ขอให้ดวงวิญญาณของผู้กล้าไปสู่สุคติด้วยเทอญ

บทสัมภาษณ์สุดท้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา...อยากให้ผู้บังคับบัญชารับรู้ว่าพวกเราทำงานกันอย่างไร



ก่อนถูกระเบิดเสียชีวิตไม่ถึง 10 วัน พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ทีมข่าวอิศรา” เอาไว้ เป็นบทสัมภาษณ์สุดท้ายที่สะท้อนให้เห็นตัวตนและจุดยืนของเขากับการทำงานในพื้นที่เสี่ยงอันตรายนี้...ก่อนที่เขาจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

“ที่ผมเดินทางไปโวยวายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมไม่ได้ไปโวยวายเพื่อให้ตัวเองได้ดิบได้ดี แต่อยากให้ผู้บังคับบัญชาในระดับสูงรับรู้ว่าพวกเราทำงานกันอย่างไร เราทำงานท่ามกลางความขาดแคลน แต่ไม่เคยเอาอุปสรรคตรงนี้ไปอ้างเพื่อสร้างปัญหา” พ.ต.อ.สมเพียร เปิดใจถึงเรื่องที่บุกไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทำเนียบรัฐบาล เพื่อทวงถามความเป็นธรรมเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย

“เช่นเดียวกับที่ผมไปทำเนียบรัฐบาล ก็ไม่ได้ไปเพราะความผิดหวังที่ไม่ได้โยกย้ายไปที่อื่น แต่มันถึงเวลาแล้ว อายุราชการผมเหลืออีกปีกว่าๆ ก็น่าจะมาพูดคุยกัน ต้องพูดความจริงว่าในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดอะไรขึ้น”

พ.ต.อ.สมเพียร ทำเรื่องขอย้ายจาก สภ.บันนังสตา ไปเป็นผู้กำกับการ สภ.กันตัง จ.ตรัง โดยให้เหตุผลกับผู้บังคับบัญชาว่าเขาทำงานด้วยความลำบากตรากตรำในพื้นที่เสี่ยงอันตรายมาหลายสิบปี น่าจะได้พักบ้างในช่วง 18 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ แต่แล้วเขาก็ต้องพลาดหวัง กระทั่งต้องบุกไปยื่นหนังสือถึงศูนย์กลางอำนาจในเมืองหลวง

“หลังจากผมไปยื่นหนังสือก็มีกระแสการตอบรับที่ดี บอกตรงๆ หลังจากเกษียณราชการแล้ว ผมอยากนั่งกินน้ำชา นั่งนินทาเพื่อน แล้วก็กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวบ้าง เพราะผมไม่ได้อยู่กับครอบครัวมานานถึง 40 ปี เวลาที่อยู่กับครอบครัวมีน้อยมาก ผมโดดเดียว อยู่คนเดียวมาตลอด“

แต่เมื่อไม่ได้ย้ายก็คือไม่ย้าย พ.ต.อ.สมเพียร บอกว่าพร้อมจะทำงานต่อไปจนสิ้นอายุราชการ โดยเฉพาะกับ อ.บันนังสตา ซึ่งเขามีความหลังให้ระลึกถึงไม่น้อยเลย

“ตอนที่ผมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา ผมรู้สึกดีใจมาก เพราะในอดีตผมเคยปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอำเภอนี้มาก่อนแล้ว ผมทราบดีว่า อ.บันนังสตา มีปัญหาต้องแก้ไขหลายด้าน จึงเชื่อมั่นว่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี”

และการรวมใจเป็นหนึ่ง คือวิธีการทำงานของ พ.ต.อ.สมเพียร

“ทีมงานของผมที่เคยร่วมงานกันในพื้นที่ อ.บันนังสตา ไม่ว่าจะเป็น ดอเลาะ เซ็งมะสู ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา ที่ชาวบ้านรู้จักในนามผู้ใหญ่เลาะแห่งตะโล๊ะเว หรือ ยะผา ยะโก๊ะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.บาละ อ.กาบัง จ.ยะลา คนเหล่านี้เมื่อทราบข่าวว่าผมจะเข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่ อ.บันนังสตาอีกครั้ง ก็มาเสนอตัวว่าจะเข้ามาช่วยงาน เพราะขณะนั้นสถานการณ์ในบันนังสตารุนแรงมาก เป็นพื้นที่สีแดงจัด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายกันแทบทุกวัน”

“ที่ผ่านมาผมปะทะกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหลายครั้ง โดยมีกองกำลังภาคประชาชนทั้งเยาวชนและคนแก่ที่ญาติพี่น้องต้องได้รับผลกระทบและสูญเสียลุกขึ้นมาจับปืนสู้ด้วยกัน ทำให้ผมภาคภูมิใจมาก ส่วนการใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหานั้น ผมอยู่ในพื้นที่บันนังสตามาหลายปี ใช้เงินงบประมาณของรัฐที่ให้เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ส่วนใหญ่จะใช้เงินของตัวเองเป็นหลัก”

พ.ต.อ.สมเพียร ไม่ได้แค่ทำงานแก้ปัญหาเหตุร้ายรายวันเท่านั้น แต่ยังสร้างคนไว้รองรับอนาคตอีกด้วย

“เด็กวัยรุ่นที่มาเป็นอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่ปฏิบัติงานร่วมกันอยู่ในขณะนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครจับปืนมาก่อนเลย แต่เด็กเหล่านี้ตั้งใจ ผมก็พยายามขอร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบรรจุตำแหน่งให้ บางคนไม่มีความรู้แต่มีผลงานก็ต้องบรรจุ แม้จะทำงานมาหลายปีแต่ทีมงานอีกหลายคนยังไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าจ้าง ไม่มีค่าตอบแทน พวกเราทำงานกันด้วยใจจริงๆ สู้เพื่อแผ่นดินตรงนี้จริงๆ”

เป็นคำพูดจากใจของ พ.ต.อ.สมเพียร ที่ยังห่วงใยลูกน้องและเพื่อนร่วมงานกระทั่งวาระสุดท้าย...



เส้นทางชีวิต “จ่าเพียร”

พ.ต.อ.สมเพียร หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “จ่าเพียร” เริ่มชีวิตตำรวจด้วยยศต่ำสุดเพียงแค่ “พลตำรวจ” เท่านั้น แต่เขาก็ไต่เต้าด้วยการทุ่มเททำงานในพื้นที่สีแดง กระทั่งเป็นถึง “ผู้กำกับการ” ยศ “พันตำรวจเอก”

พ.ต.อ.สมเพียร เริ่มต้นชีวิตราชการเมื่อปี พ.ศ.2513 ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยต่อกรกับกลุ่มที่ยืนตรงข้ามกับรัฐแทบทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเรียกขานด้วยชื่อใด ทั้งโจรจีนคอมมิวนิสต์ (จคม.) ขบวนการโจรก่อการร้าย (ขจก.) และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เคยผ่านการยิงปะทะมาแล้วนับร้อยครั้ง และเคยถูกยิงถูกลอบวางระเบิดได้รับบาดเจ็บถึง 8 ครั้ง

เมื่อปี พ.ศ.2519 เขาเปิดฉากยิงปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้าย กลุ่มนายลาเตะ เจาะปันตัง ที่จับตัวตำรวจและครอบครัวไปเรียกค่าไถ่ที่เทือกเขาเจาะปันตัง อ.บันนังสตา ผลจากการปะทะเขาถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาซ้ายและหน้าอก อาการสาหัสแทบพิการ

ปี พ.ศ.2526 ยิงปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้าย กลุ่มนายคอเดร์ แกแตะ กับพวกประมาณ 30 คนที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เขาถูกยิงที่ต้นขาขวากระสุนฝังใน ฯลฯ

ชีวิตของ พ.ต.อ.สมเพียร โชกโชนในยุทธจักรความรุนแรงและเสี่ยงอันตราย กระทั่งได้รับประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย แต่ที่ปลาบปลื้มอย่างที่สุดคือการได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้นสอง ประเภทหนึ่ง



จากผู้ร่วมงานถึง พ.ต.อ.สมเพียร

หลายคนที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับ พ.ต.อ.สมเพียร สะท้อนตัวตนของนายตำรวจผู้นี้ผ่านเรื่องราวในอดีต และความรู้สึก ณ ปัจจุบัน

ยะผา ยะโก๊ะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.บาละ อ.กาบัง จ.ยะลา หนึ่งในทีมฉพาะกิจของผู้กำกับฯสมเพียร กล่าวว่า ตอนที่ทราบข่าวว่า จ่าเพียร จะมารับตำแหน่งผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา รู้สึกดีใจมาก ทั้งเขาและลูกน้องจึงสมัครใจเข้าช่วยเหลือ พ.ต.อ.สมเพียร ทันที

“ผมรู้จักจ่าเพียรเป็นอย่างดี ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็นสารวัตรปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ ต.โกตาบารู อ.รามัน จ.ยะลา เคยต่อสู้กับกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งขณะนี้กลุ่มบีอาร์เอ็นไม่มีอีกแล้ว เริ่มมามีชุดใหม่คือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ผมมาช่วยปฏิบัติงานเป็นชุดเฉพาะกิจของจ่าเพียร ช่วงแรกๆ ก็กลัวว่าจะมีปัญหาเหมือนกัน เพราะอยู่ต่างพื้นที่ ต่างอำเภอ แต่จ่าเพียรได้เดินเรื่องขอผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาให้เปิดโอกาสในการทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่ หากมีเหตุใน อ.บันนังสตา และจ่าเพียรต้องการกำลังเสริม ผมพร้อมลูกน้องจะเดินทางไปสบทบทันที”

“สิ่งที่เราทำร่วมกันมา ผมอยากบอกว่าวันนี้ไม่ว่าจ่าเพียรจะอยู่หรือไปจากบันนังสตา ทั้งผมและลูกน้องก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ เราจะดูแลรักษาความสงบในพื้นที่นี้ต่อไป เพราะรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงานกับจ่าเพียร”

ส.ต.ต.ธีรพล ท้าวแพทย์ ผู้บังคับหมู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (ผบ.หมู่ นปพ.) ประจำสถานีตำรวจยุทธศาสตร์บ้านกาจะลากี หมู่ 2 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา ซึ่งเป็นจุดนัดพบทีมเฉพาะกิจของ พ.ต.อ.สมเพียร เขากล่าวว่าตัดสินใจมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่บันนังสตา เพราะอยากให้เกิดความสงบสุข แต่ยอมรับว่าเมื่อครั้งที่ลงมาใหม่ๆ ก็รู้สึกกลัว แต่ผู้กำกับฯสมเพียร ได้เมตตาช่วยชี้แนะ เช่นบอกว่าอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยแบบนี้ต้องระมัดระวังตัว อาวุธปืนต้องพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ประมาท

“ที่ผ่านมาผู้กำกับฯสมเพียร ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี ช่วยเหลือทุกอย่าง ฉะนั้นผมกับเพื่อนๆ จะปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความสงบในพื้นที่ต่อไปให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ผู้กำกับฯเคยดูแลพวกเรา” ส.ต.ต.ธีรพล กล่าว



ผู้กำกับฯสระโบสถ์ เผย “จ่าเพียร”โทร.คุยก่อนตาย

พ.ต.อ.ศารทูล ประดิษฐ์ ผู้กำกับการ สภ.สระโบสถ์ จ.ลพบุรี เพื่อร่วมรุ่นโรงเรียนผู้กำกับการ รุ่นที่ 52 ของ พ.ต.อ.สมเพียร ซึ่งออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้ายเช่นกัน กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 11 มี.ค.เวลาประมาณ 20.00 น. หรือก่อนถูกระเบิดเสียชีวิตเพียง 1 วัน พ.ต.อ.สมเพียร ได้ใช้โทรศัพท์มือถือโทร.มาหา และระบายความอึดอัดที่ไม่ได้รับความเห็นใจจากผู้บังคับบัญชาในการแต่งตั้งโยกย้าย

“พี่สมเพียรพูดกับผมว่า ตั้งแต่ที่ร้องเรียนไปกับทั้งนายกรัฐมนตรีและ พล.ต.อ.ปทีป (พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ข่าวที่ว่าจะมีการเยียวยาให้ ก็ยังไม่ได้รับเยียวยาแต่อย่างใดทั้งสิ้น”

“พี่สมเพียรแกพูดไปก็เสียงสั่นเครือว่า แกยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออะไรจากผู้ใหญ่ตามที่ออกข่าวเลย อาทิตย์หน้าแกจะลามากรุงเทพฯ เพื่อมาทวงถามความยุติธรรมอีกครั้ง แกยังชวนผมกินข้าวด้วยกันอยู่เลย“

พ.ต.อ.ศารทูล กล่าวด้วยว่า เมื่อได้ทราบข่าวว่า พ.ต.อ.สมเพียร ถูกระเบิดเสียชีวิตเมื่อบ่ายวันที่ 12 มี.ค. รู้สึกตกใจมาก เพราะเพิ่งคุยกันอยู่เมื่อคืน ได้แต่ปลงกับชีวิตตำรวจคนหนึ่งที่ทำงานเพื่อชาติ

การเสียชีวิตของ พ.ต.อ.สมเพียร ไม่ได้สะท้อนถึงความโหดร้ายของสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ยังทำให้เห็นถึงความโหดร้ายของระบบการบริหารงานบุคคลในสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย!



หมายเหตุ :

* อะหมัด รามันห์สิริวงศ์ เป็นผู้สื่อข่าวประจำ จ.ยะลา

** จรูญ ทองนวล เป็นช่างภาพมือรางวัลจากเครือเนชั่น

เพลงที่ฉันชอบ

เหงาปาก



ห่างกันสักพัก

การชุมนุมเสื้อเหลือง


เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ว่าด้วยคดีสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่มีมติกล่าวหาอดีตนายกสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพวกรวม 9 คนว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

หากพิจารณาคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) จะเห็นได้ว่า บุคคลอื่นที่ถูก ป.ป.ช. กล่าวหา กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ และ พล.ต.ท สุชาติ เหมือนแก้ว เป็นเรื่องของการสั่งการตามลำดับชั้น เพื่อให้รัฐสภาสามารถใช้เป็นที่ประชุม ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าประชุมเพื่อรับฟังการแถลงนโยบายต่อรัฐบาลให้ได้ ซึ่งจะผิดจะถูกอย่างไรก็ต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้วศาลจะตัดสินเช่นไร เพราะยังต้องเข้าสู่กระบวนการของศาลอีก แต่ประเด็นหลักที่ทางอัยการโจทก์อ้างนำสืบให้ได้ความชัด ก็หนีไม่พ้นอำนาจหน้าที่การสั่งการจะเป็นเหตุไปสู่การบาดเจ็บและล้มตายเป็นประเด็นหลัก


จากกรณีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ดังกล่าวควรจะเป็นเรื่องที่สะใจชาวเสื้อเหลือง และคงจะคาใจชาวเสื้อแดง สำหรับคนที่มีใจเป็นกลางแล้วก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

รายละเอียดของคำวินิจฉัย ควรจะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าและเจ็บปวดสำหรับคนไทยทั้งมวล ที่สำคัญคือ ทำให้คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องได้รับบทเรียนเพียงพอในการใช้วิจารณญาณที่จะไม่กระทำการอันเป็นการผิดกฎหมายและฝ่าฝืนหลักสิทธิมนุษยชน
หากพิจารณาถึงเหตุผลของการร่วมชุมนุม แม้จะมีเหตุผลในการเรียกร้องสิทธิที่ต่างกัน แต่ผลจากการสลายการชุมนุมเหตุการณ์ที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ มีการล้มตายมากกว่า และเชื่อว่าต้องมีการสั่งการเป็นลำดับชั้น เฉกเช่นการสั่งการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.)ได้วินิจฉัยการสั่งการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา แต่เหตุไฉนเหตุการณ์ตากใบกระบวนการยุติธรรมจึงไปได้เพียงว่า ผู้ที่ล้มตายเกิดจากอะไร ?

แม้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ได้วินิจฉัยไปแล้วถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แต่พี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คงมีคำถามต่อไปว่า ทำไมผลการวินิจฉัยการสลายการชุมนุมทั้ง 2 เหตุการณ์ จึงมีขั้นตอนกระบวนการและคำตอบสุดท้ายที่แตกต่างกัน.

การเคลื่อนไหวคนเสื้อแดง


ศาลยกคำร้องแกนนำคนเสื้อแดง 16 คน ร้องคัดค้านหมายจับตามพรก.ฉุกเฉิน ระบุหมายจับเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย

ห้องพิจารณาคดี ที่ 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งคดีที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนเพื่อมีคำสั่งเพิกถอนหมายจับ นายวีระ กับพวกที่เป็นแกนนำและแนวร่วม นปช.รวม 16 คน ที่กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

โดยก่อนหน้านี้ศาลได้ไต่สวนพยานกลุ่ม นปช. ไปแล้วเมื่อวันที่ 6 พ.ค. จำนวน 4 ปาก ประกอบด้วยนายคารม พลทะกลาง ทนายความผู้รับมอบอำนาจ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายสุวิทย์ ทองนวล ผู้ช่วยนายสุนัย ส.ส.สัดส่วน และนายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์คำเบิกความพยานผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ก่อนหน้านี้ที่เคยมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเกี่ยวกับคใมชอบของ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำวินิจฉัยออกมา ดังนั้นถือว่าการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมายังคงมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป

ส่วนกรณีที่ผู้ร้อง อ้างว่าสถานการณ์การชุมนุมยังไม่ร้ายแรงที่จะทำให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ ตามที่สื่อมวลชนได้ลงข่าวเมื่อวันที่ 7 เม.ย.นั้น เหตุการณ์ปรากฎหลักฐานชัดว่ามีผู้ชุมนุม นปช.จำนวนมากบุกรุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงมีเหตุผลที่รัฐบาลสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ขณะเดียวกันฝ่ายผู้ร้องไม่ได้นำตัวผู้ที่ถูกออกหมายจับมาเบิกความ และชี้ให้เห็นว่าได้รับผลกระทบจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ อย่างไร การออกหมายจับแกนนำ นปช.จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่เห็นควรให้เพิกถอนหมายจับดังกล่าว จึงมีคำสั่งยกคำร้องกลุ่ม นปช. ผู้ร้องที่ขอให้เพิกถอนหมายจับ

ภายหลังนายคารม พลทะกลาง ทนายความ กล่าวว่า ศาลยกคำร้อง เนื่องจากต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามที่ตนและทนายความได้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไว้ นอกจากนี้ฝ่ายเราไม่สามารถนำตัวจำเลยมาศาลได้ เพราะเกรงว่าจะถูกตำรวจจับกุม ทำให้พยานหลักฐานและคำเบิกความมีน้ำหนักน้อยลงไปด้วย แต่ไม่เสียใจ เพราะได้พยายามช่วยเหลือแกนนำ นปช.เต็มที่แล้ว

เมื่อถามว่าทางแกนนำนปช.จะเข้ามอบตัวในวันที่ 15 พ.ค.แน่นอนหรือไม่ นายคารม กล่าวว่า ยังไม่แน่ว่าแกนนำ นปช.ทั้งหมดจะติดต่อเข้ามอบตัวกับตำรวจตามกำหนดเดิมหรือไม่ แต่ส่วนตัวได้ให้คำแนะนำไปไม่ควรไปมอบตัว เนื่องจากตำรวจจับกุมตามอำนาจ พ.ร.บ. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งคาดว่าจะไม่ได้ประกันตัว และถูกนำตัวควบคุมยังสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ

หัวหิน


ถ้าเราขับรถมุ่งหน้าลงภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว ส่วนรวม รถตู้ รถเมล์ หรือว่ารถไฟ ก็จะพบกับชายทะเลฝั่ง อ่าวไทยที่งดงาม เรียงรายไปตั้งแต่ ชะอำ หัวหิน ปราณบุรี ไปจนถึงบ้านกรูด พวกเธอกำลังยิ้มรับ และรอคอยการมาเยือนของคนที่รักทะเลไม่เลือกชนชั้นวรรณะศาสนาไม่เลือกเพศ และวัย ในระยะทางเพียง 160 กว่ากิโลเมตร กับระยะเวลาเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆ ถึงสองชั่วโมงถ้าเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพฯ ชายทะเลแห่งความสุขสนุกสนานนามว่าชะอำที่คลื่นกำลังชัดสาดอย่างสวยงาม ก็มาอยู่เบื้องหน้าพวกคุณแล้ว
ชะอำ มีชายหาดยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นชายทะเลที่มี นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมีทั้งที่มาเป็นครอบครัวและมาเดี่ยว ๆ และนักเรียนนักศึกษาก็มาเที่ยวกันมาก เดิมทีนั้นชะอำเป็นเพียงตำบลเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่กับอำเภอหนองจอก แต่ภายหลังที่หัวหินมีชื่อเสียง ที่ดินแถบชายทะเลก็ถูกจับจองไว้จนหมด พวกเจ้านายชั้นผู้ใหญ่สมัยนั้นจึงพยายามหาสถานที่พักผ่อนตากอากาศแห่งใหม่ โดยการนำของสมเด็จกรมพระยานราธิปประพันธ์พงศ์ และได้พบว่าหาดชะอำเป็นชายหาดที่สวยงามไม่แพ้ชายหาดหัวหิน ชะอำจึงเริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่นั้นมาเมื่อมาถึงชะอำแล้ว สิ่งที่จะพลาดไม่ได้เลยคือกิจกรรมบริเวณริมชายหาด เพราะมีตั้งแต่ขี่ม้าชมวิว เจ็ตสกี และบานาน่าโบ๊ต ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของบรรดาหนุ่มสาววัยมันทั้งหชายหาดชะอำ จะมีงานเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ซึ่งนอกจากจะมีการออกร้านจำหน่ายสินค้า อาหารทะเลสดๆ ในราคายุติธรรมแล้ว ยังมีบริการพานักท่องเที่ยวนั่งเรือชมนกนานาชนิด และตกหมึกอีกด้วย

จากชายหาดชะอำ มุ่งหน้าไปทาง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพียง 8 กิโลเมตร ก็จะถึงพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นที่ตั้งของค่ายพระรามหก และเป็นสถานที่ที่ได้รับการขนานนามว่า “ พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง” ที่พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญมาปลูกใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2466 เป็น พระตำหนักแบบไทยผสมยุโรป เป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้สักทองอย่างสวยงามและน่าชมและที่สำคัญอยู่ติดชายทะเลอีกด้วย

นับจากพระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง เดินทางต่อไปอีกนิดเดียวก็จะถึง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมืองที่เลื่องชื่อ มีชายทะเลเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้มาเยือนเพราะหัวหินได้ชื่อว่าเป็นชายทะเลที่โรแมนติคที่สุด มีชายหาดที่ยาวถึง 5 กิโลเมตร แต่ความสวยงามของชายหาดยามเย็นที่เงียบสงบก็ทำให้คู่รักทุกคู่นึกถึงสถานที่แห่งนี้ที่จัดเป็นที่ฮันนีมูนและ จัดเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงาน

ณ บริเวณแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์ และอีกทั่งยังเป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังไกลกังวล และมีร้านโกลเด้นเพลสขายของที่ระลึกอีกด้วย และยังมีโรงแรมใหญ่น้อยผุดขึ้นมากมายตลอดชายหาด อีกทั้งยังมีบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกที่คู่รักหลายคู่ชื่นชอบ

ลาย ยิ่งในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี ณ บริเวณจุดชมวิวพอตกตอนเย็นหากไม่ได้แวะไปตลาดฉัตรชัย ก็เหมือนยังมาไม่ถึงหัวหิน เพราะตลาดฉัตรชัยตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม ในตัวเมืองหัวหิน ตลาดฉัตรชัยสร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2469 ตามพระราชดำริของราชกาลที่ 7 ในวาระเสด็จแปรพระราชฐานมาประทับ ณ วังไกลกังวลเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณนี โดยราชสกุล “ ฉัตรไชย “ พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพชร อัครโยธิน เป็นหัวหน้าในการจัดสร้าง ปัจจุบันมีสินค้าที่ระลึกและอาหารทะเลทั้งสดทั้งแห้งจำหน่ายมากมาย ส่วนตลาดโต้รุ่งหัวหินก็เป็นสีสันหนึ่งในยามค่ำคืนที่เป็นแหล่งรวมอาหารนานาชนิด ทั้ง อาหารไทย อาหารทะเล โรตี ขนมไทยนานาชนิด ฯลฯ และยังมีร้านขายของฝากที่ระลึก

ถ้ามองทะเลยามค่ำคืนที่เงียบสงบ และมองหาที่พักหัวหินที่เย็นสบายและราคาไม่แพงมากนักก็ควรแวะไปที่ บ้านพัก จีเฮ้าส์ ซึ่งห่างจากทะเลหัวหินเพียง 1 กิโลเมตร จีเฮ้าส์เป็นห้องพัก แบบสไตล์โมเดิร์น สะอาด และสงบเงียบเหมาะสำหรับการพักผ่อนยามค่ำคืน หลังจากการที่คุณได้เดินทางและท่องเที่ยวมาทั้งวัน และคุณสามารถ ลิ้มลองอาหารทะเลสดๆ และ อาหารจานเด็ดของครัวจีเฮ้าส์ และ เรายังมีบริการอินเตอร์เน็ทไร้สายบริการฟรีทุกห้องพัก และทุก ๆ ส่วนในอาคาร บ้านพัก จีเฮ้าส์ ยังใกล้เขาหิน เหล็ก ไฟ ที่สามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ของเมืองหัวหินยามค่ำคืนที่สวยงาม

และขับรถขึ้นไปอีกนิดก็จะถึงวัดห้วยมงคลซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของหลวงปู่ทวดวัดห้วยมงคล และหัวหินยังมีสถานที่พักผ่อนอีกที่ที่ไม่แพ้หาดหัวหินนั้นคือสวนสนประดิพัทธ์ ที่อยู่ในความดูแลของทหารราบ ปราณบุรี เป็นชายทะเลอีกแห่งหนึ่งที่มีผู้นิยมเดินทางไปพักผ่อน จากถนนเพชรเกษมตรงกิโลเมตรที่ 240 เลี้ยวขวาไป 500 เมตรก็ถึงแล้ว ใกล้ๆ กันนั้นยังมีเกาะสิงโต เหมาะสำหรับผู้นิยมตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ สามารถเช่าเรือได้ที่หมู่บ้านเขาตะเกียบ ใช้เวลาเดินทางราว 55 นาทีก็ถึง ถัดไปอีกไม่ไกลนักก็จะเจอเขาเต่า ห่างจากหัวหินแค่ 13 กิโลเมตร ซึ่งที่นี่มีหาดทรายน้อยและหาดทรายใหญ่ที่สะอาดและสวยงาม ใกล้ๆ กันมีเกาะขนาดเล็กอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งบนเกาะมีเปลือกหอยชนิดต่างๆ ทับถมกันอยู่ และยังมี พระพุทธรูปใหญ่หันพระพักออกสู่ทะเล

เส้นทางทะเลปลอดภัยไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ เพราะปราณบุรียังเป็นทะเลอีกแห่งที่มีที่พักหลากหลายระดับราคาตั้งแต่รากหญ้าทัวร์ไปจนถึงชนชั้นกลางพักได้สบาย จุดที่มีผู้นิยมไปพักก็คือหาดนเรศวร หรือหาดเขากะโหลก ห่างจากปากน้ำ ปราณไปทางทิศใต้ราว 7 กิโลเมตรเท่านั้น ชายหาดของที่นี่ เป็นทรายสีน้ำตาลอ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ด้านใต้มีเขาลูกเล็กๆ คล้ายกับกะโหลก สามารถขึ้นไปชมวิวได้

ใกล้กันนั้นในกิ่ง อ.สามร้อยยอด ก็มีทะเลสวยๆ ให้ไปพักผ่อน คือที่หาดอุทยานแห่งชาติติดเขาสามร้อยยอด (หาดนมสาว) ชายหาดเงียบสงบ มีทิวสนทะเล น้ำทะเลตื้นๆ สามารถเล่นน้ำได้ ทิศใต้มีเกาะต่างๆ ที่สามารถนั่งเรือไปเที่ยวเกาะหรือดำน้ำดูปะการังที่เกาะโครำ เกาะนมสาว เกาะระวิง เกาะระวาง

อีกแห่งที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ของวัยรุ่น เป็นทะเลแนวเทรนดี้ที่กำลังมาแรงก็คือ ทะเลแถวหาดบ้านกรูด ใน อ.บางสะพาน จะมีแนวหาดทรายยาว 12 กิโลเมตร ขนานไปกับถนน เลียบชายหาด เดิมนั้นมีต้นมะกรูดขึ้นมากมาย เลยกลายมาเป็น ที่มาของชื่อ แต่เดียวนี้ต้นมะกรูดมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก เพราะกลายมาเป็นทิวต้นมะพร้าวไปสะแล้ว ในบริเวณยังมีชุมชนชาวประมงอาศัยอยู่อย่างมากมาย ถ้าไปทางรถยนต์ก็จับทางง่ายขึ้น จากทางหลวงหมายเลข 4 ประมาณกิโลเมตรที่ 382 เลี้ยวซ้ายไปตามถนนเพชรเกษม บ้านกรูด ข้ามทางรถไฟไป 9 กิโลเมตร ก็จะถึงถนนเลียบหาดบ้านกรูดแล้ว

ใครที่ชื่นชอบการดำน้ำดูแนวปะการังก็ต้องไปที่เกาะรำร่า เกาะหิน ขนาดปานกลาง ห่างจากฝั่งแค่ 300 เมตร มีแนวปะการังอยู่รอบเกาะ

จากกรุงเทพฯล่องใต้ไปไม่ถึง 400 กิโลเมตร เราก็จะได้เจอกับมนต์เสน่ห์ของท้องทะเลไทยที่สามารถดูด้วยตาสัมผัสด้วยใจแถมยังได้ชื่อว่าเป็นชายทะเลที่ปลอดภัยอีกด้วย

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์


การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ เป็นวิธีการเลี้ยงปลาอีกวิธีหนึ่งที่สามารถเลี้ยงกันได้ง่าย และสำหรับสถานที่ก็ใช้พื้นที่ไม่เยอะ และสามารถเคลื่อนย้ายท่อปูนซีเมนต์ได้ง่ายด้วย ค่าลงทุนในการการเลี้ยงก็ไม่มากสามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพเสริมได้ ส่วนผลตอบแทนก็เป็นที่น่าภูมิใจ จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ร่วมด้วย ช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด จ.สงขลา ได้พบกับคุณชาลี สุวรรณชาตรี อยู่บ้านเลข ที่ 319 ม.18 ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เกษตรกรผู้ที่เลี้ยงปลาดุกในท่อ ปูนซีเมนต์ ได้บอกถึงวิธีการเลี้ยงปลาดุกด้วยระบบชีวภาพซึ่งมีขั้นตอนการ เลี้ยงดังนี้

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การเตรียมอุปกรณ์
1.ท่อปูนซีเมนต์ขนาด 100*50 เซนติเมตร
2.ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ยาว 20 เซนติเมตร จำนวน 1 เส้น และยาว 40 เซนติเมตร จำนวน 1 เส้น
3.ข้องอพีวีซีขนาด 1 นิ้ว จำนวน 1 อัน
4.ยางนอกรถสิบล้อจำนวน 1 เส้น
5.ยางนอกรถจักรยานยนต์จำนวน 1 เส้น
6.ตาข่าย
7.น้ำหมักสูตรเลี้ยงปลา
8.ปูน ทราย หิน
9.อาหารสำหรับเลี้ยงปลาดุก
10.พืชผักที่ปลากิน เช่น ผักบุ้ง ผักตบชวา ฯลฯ
11.ลูกปลาดุก 70-80 ตัว

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การเตรียมบ่อปูนซีเมนต์สำหรับเลี้ยงปลาดุก
1.จะต้องทำการฆ่ากรดฆ่าด่างในบ่อปูน โดยให้นำหัวกล้วยหรือโคนกล้วยมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำมูลวัวมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำใส่ไปในบ่อใส่น้ำให้เต็ม แล้วหมักไว้ 5 วัน จากนั้นให้เปิดน้ำทิ้งแล้วเอาโคนกล้วยออกทิ้งด้วย
2.นำน้ำสะอาดใส่ไปในบ่อแล้วแช่ทิ้งไว้ 1 วัน หลังจากนั้นก็ให้เปิดน้ำทิ้ง
3.นำผักบุ้งมาถูให้ทั่วบ่อ ทิ้งไว้ตากบ่อให้แห้ง
การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การทำน้ำหมักสูตรเลี้ยงปลา
1.ถังพลาสติกที่มีฝาปิดจำนวน 1 ถัง
2.น้ำตาลทรายแดง 3 กิโลกรัม
3.ฟักทองแก่ 3 กิโลกรัม
4.มะละกอสุก 3 กิโลกรัม
5.กล้วยน้ำหว้าสุก 3 กิโลกรัม

วิธีทำน้ำหมักสูตรเลี้ยงปลา
หั่นมะละกอ, กล้วยน้ำหว้า, ฟักทองทั้งเปลือกและเมล็ดใส่ไว้ในภาชนะที่มีฝาปิด ผสมน้ำตาลทรายแดง แล้วคนให้เข้ากันและปิดฝาให้แน่นหมักทิ้งไว้ 7 วัน แล้วเติมน้ำสะอาด 9 ลิตร ปิดฝาให้แน่นแล้วหมักต่ออีก 15 วัน

ประโยชน์
-เป็นฮอร์โมนพืช เร่งดอก เร่งผล รสชาติหวานอร่อย
-ปลาไม่เป็นโรค
-ปลาไม่มีกลิ่นสาบ
-ปลาไม่มีมันในท้อง
-ปลาจะมีเนื้อหวานรสชาติอร่อย

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การเลี้ยง
1.นำท่อปูนที่มีรอยคราบผักบุ้ง หรือบ่อปูนที่ไม่มีกรดไม่มีด่าง ใส่น้ำให้มีความสูง 10 เซนติเมตร (ช่วงปลาขนาดเล็ก เพิ่งนำมาปล่อย) แล้วเติมน้ำหมัก 1 ช้อนโต๊ะ
2.นำปลาดุกมาแช่น้ำในบ่อปูนทั้งถุง แล้วค่อยๆเปิดปากถุงให้ปลาว่ายออกมาเอง
3.วันแรกที่นำปลามาปล่อยไม่ต้องให้กินอาหาร
4.นำพืชผักที่ปลากิน เช่นผักบุ้ง ผักตบชวาและอื่นๆมาใส่ในบ่อ
5.การให้อาหาร ปลา 1 ตัวให้อาหาร 5 เม็ด/เมื้อ ในช่วงปลาเล็กให้อาหารวันละ 2 เมื้อ เช้า-เย็น ปลาอายุ 1 เดือนครึ่งให้อาหารปลาขนาดกลาง โดยให้อาหารวันละ 1 ครั้ง ให้ปลากินตอนเย็น

หมายเหตุ ก่อนให้อาหารต้องนำอาหารมาแช่น้ำก่อนเสมอประมาณ 10-15 นาที
เหตุผลเพื่อ
1.ปลาจะได้กินอาหารทุกตัว
2.ปลาตัวที่แข็งแรงจะทำให้ท้องไม่อืด
3.ปลาไม่ป่วย
4.การเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน
5.อาหารไม่เหลือในบ่อและน้ำก็ไม่เสีย
6.ถ่ายน้ำทุกๆ 7 วัน หรือ 10 วัน/ครั้ง ทุกครั้งที่ถ่ายน้ำจะต้องใส่น้ำหมัก 1 ช้อนโต๊ะเสมอ

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การจำหน่าย
1.ก่อนจะจำหน่าย 2 วัน ให้นำดินลูกรังสีแดงหรือซังข้าวมาแช่ไว้ในบ่อ จะทำให้ปลาดุกมีสีเหลืองสวย ขายได้ราคาดี
2.ปลาดุก 3 เดือนครึ่ง จำนวน 70 ตัว จะมีน้ำหนัก 14-15 กิโลกรัม หรือประมาณ 4-5 ตัว/กิโลกรัม จำหน่ายได้กิโลกรัมละ 60-70 บาท
3.ต้นทุนอาหารกิโลกรัมละ 19-20 บาท หมายเหตุ ต้นทุนครั้งแรก 1 ชุด 430 บาท น้ำที่ถ่ายทิ้งจากบ่อปลาสามารถนำมารดต้นไม้ พืชผักสวนครัว เป็นปุ๋ยอย่างดี


หมายเหตุ : ราคาที่จำหน่ายปลาขึ้นอยู่แต่ละพื้นที่ ต้นทุนการผลิตขึ้นกับวัสดุและอุปกรณ์ในแต่ละท้องถิ่น

สรุป วิชากฎหมายปกครอง เบื้องต้น

กฎหมายปกครอง เป็น กฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชน เป็น กฎหมายกฎหมายที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน ในฐานนะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ปกครองมีอำนาจเหนือเอกชน หรือระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง

กฎหมายปกครอง จึงเป็น กฎหมายมหาชน ที่วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารของรัฐ การดำเนินกิจกรรมของฝ่ายปกครองในการจัดบริการสารธารณะ และวางหลักความเกี่ยวพันในทางปกครองระหว่างฝ่ายปกครองกับเอกชน และฝ่ายปกครองด้วยกันเอง รวมทั้งกำหนดสถานะและการกระทำทางปกครอง

ในระบบการปกครองประเทศแบ่งองค์กรที่ใช้อำนาจเป็น 3 ฝ่าย

- ฝ่ายนิติบัญญัติ
- ฝ่ายบริหาร
- ฝ่ายตุลาการ
ฝ่ายปกครองเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในฝ่ายบริหาร งานของฝ่ายบริหารแยกเป็น 2 ส่วน คือ

1. งานทางการเมือง มีพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจผ่านทางคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐบาล ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการใช้ ข้อบังคับกฎหมายต่างๆ
2. งานทางปกครอง เป็นส่วนที่เรียกว่า ราชการประจำ มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติตามนโยบายที่ฝ่ายบริหารในส่วนที่เป็นการเมืองกำหนดขึ้น คือ
- ราชการส่วนกลาง คือ กระทรวง ทบวง กรม
- ราชการส่วนภูมิภาค คือ จังหวัด อำเภอ
- ราชการส่วนท้องถิ่น มี 2 รูปแบบ
1. รูปแบบทั่วไป คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล

2. รูปแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร พัทยา

- รัฐวิสาหกิจ

- องค์กรอิสระ เป็นองค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรที่อิสระจากการควบคุมของฝ่ายบริหาร(รัฐบาล)โดยตรง เนื่องจากภารกิจของหน่วยงาน เช่นธนาคารแห่งประเทศไทย

- คณะกรรมการต่างๆ

แนวคิดพื้นฐานของกฎหมายปกครอง คือ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ

1. รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของคนหมู่มากในสังคมหรือประโยชน์สาธารณะ
2. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนสอดคล้องกับประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ รัฐก็ใช้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนได้
3. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนไม่สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะจะต้องให้ประโยชน์สาธารณะอยู่เหนือประโยชน์ส่วนตัวของเอกชน
4. ถ้าเอกชนไม่ยินยอมที่จะสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์สาธารณะ ก็จะต้องให้รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจบังคับเอกชนเพื่อประโยชน์สาธารณะได้
กิจกรรมของฝ่ายปกครอง แบ่งเป็น

1. การกระทำทางแพ่ง คือ สัญญาทางแพ่ง เช่นองค์กรของรัฐซื้อคอมพิวเตอร์
2. การกระทำทางปกครอง คือ ผลิตผลของการใช้อำนาจรัฐตามกฎหมายขององค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง
การกระทำทางปกครอง แบ่งเป็น

1. นิติกรรมทางปกครอง
2. ปฏิบัติการทางปกครอง
นิติกรรมทางปกครอง

1. นิติกรรมฝ่ายเดียว คือ กฎ
คำสั่งทางปกครอง

2. นิติกรรมหลายฝ่าย คือ สัญญาทางปกครอง

ลักษณะของนิติกรรมทางปกครอง

1. เป็นการกระทำขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง ที่กระทำโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ เพื่อแสดง
เจตนาให้ปรากฏต่อบุคคล

2. เจตนาที่แสดงออกมานั้น ต้องมุ่งหมายที่จะให้เกิดผลทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น เช่น ถ้าหน่วยงานราชการมีหนังสือ เตือน ให้คุณมาต่อใบอนุญาต แบบนี้ไม่เป็นนิติกรรมทางปกครอง เพราะไม่ได้มุ่งให้เกิดผลทางกฎหมาย คุณจะต่อหรือไม่ต่อก็เรื่องของคุณ
3. ผลทางกฎหมายที่มุ่งหมายให้เกิดขึ้น คือ การสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งมีอำนาจ หรือสิทธิเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำ หรืองดเว้นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งมีผลเป็นการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น ถ้าอธิบดีกรมการปกครองอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน 2535 ออกคำสั่งแต่งตั้งบุคคลให้เป็นปลัดอำเภอ เท่านี้ก็เกิดนิติสัมพันธ์แล้ว ระหว่างอธิบดีกรมการปกครองกับบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดอำเภอ ถือว่าเป็นการก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน หรือ ถ้าคู่กรณีเดิมปลัดอำเภอทำความผิดร้ายแรง อธิบดีกรมการปกครองไล่ออก ผลทางกฎหมาย คือ ระงับสิ้นสุดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน ถึงแม้จะเป็นการระงับ แต่ผลทางกฎหมายก็เกิดขึ้น คือ สิทธิและหน้าที่ของอีกฝ่ายสิ้นสุดลง
4. นิติสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่จำเป็นต้องให้ความยินยอม ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการแสดงเจตนาทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อนั้นจะไม่ใช่นิติกรรมทางปกครอง แต่จะแปรสภาพเป็น สัญญาทางปกครอง เช่น ก.ไปยื่นคำขอพกอาวุธปืน ในทางปกครองถือว่าการยื่นคำขอไม่ใช่คำเสนอ และเมื่อฝ่ายปกครองอนุญาตก็ไม่ใช่คำสนอง การที่มีขั้นตอนยื่นคำขอเข้าไปก่อน เรียกว่า เงื่อนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เป็นเงื่อนไขว่าถ้าไม่ทำตามขั้นตอนเช่นนี้นิติกรรมทางปกครองก็ไม่สมบูรณ์เมื่อขาดลักษณะใดลักษณะหนึ่งของนิติกรรมทางปกครองก็จะกลายเป็นปฏิบัติการทางปกครอง
ประเภทของนิติกรรมทางปกครอง

กฎ เป็นบทบัญญัติที่มีผลเป็นการบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เช่นพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ

คำสั่งทางปกครอง เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล ในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว ที่มีผลบังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

เงื่อนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง

1. อำนาจ เจ้าหน้าที่ที่ทำนิติกรรมต้องมีอำนาจ เป็นอำนาจที่กฎหมายให้มา
2. แบบและขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญของการทำนิติกรรมทางปกครอง เพราะถ้าไม่ใช่สาระสำคัญก็จะไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 3618/2535
3. วัตถุประสงค์ นิติกรรมทางปกครองต้องมีวัตถุประสงค์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ การใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ การกระทำของฝ่ายปกครองก็ต้องไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ที่กฎหมายเฉพาะกำหนดถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4. ไม่บกพร่องเรื่องเจตนา จะต้องไม่เกิดจากการถูกฉ้อฉล ไม่สำคัญผิดหรือไม่ถูกข่มขู่ เช่น ผู้ขอสัมปทานร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับล่างบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ หัวหน้าหลงเชื่อก็สั่งการไป ก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
5. เงื่อนไขอื่นๆ เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เช่น พระราชบัญญัติสถานบริการ มาตรา 21 วรรค 2 ว่าการสั่งพักใบอนุญาตสั่งได้ครั้งละ 30 วัน เพราะฉะนั้นจะสั่งพักใบอนุญาตในระยะเวลาที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไม่ได้
กิจการที่ฝ่ายปกครองที่เป็นการกระทำทางปกครอง มี 2 ด้าน

1. กิจการในทางควบคุม เป็นการวางกฎเกณฑ์และบังคับให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์เพื่อความมั่นคง เพื่อการจัดการเรียบร้อย เป็นการที่ฝ่ายปกครองใช้อำนาจฝ่ายเดียวที่จะกำหนดให้ฝ่ายเอกชนต้องปฏิบัติตาม และบังคับให้ฝ่ายเอกชนที่ฝ่าฝืนต้องปฏิบัติตาม เช่น เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มีอำนาจออกระเบียบ ห้ามสร้างอาคารสูงเท่านั้นเท่านี้ เมื่อมีการฝ่าฝืนเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่มีอำนาจก็บังคับ โดยเข้ารื้อถอนอาคาร การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ ออกระเบียบ เป็นนิติกรรมทางปกครองประเภทกฎ เพราะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป การที่เจ้าพนักงานไปรื้ออาคารที่สร้างฝ่าฝืนเป็นการปฏิบัติการทางปกครอง
2. กิจการในทางบริการ เช่น
- กิจกรรมเพื่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน เช่น การป้องกันประเทศ
- กิจการเพื่อความสงบเรียบร้อย เช่น การสาธารณสุข การศึกษา
- กิจการเพื่อความสะดวกสบายของประชาชน เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศัพท์ สัญญาจ้างก่อสร้างถนน วางท่อประปา เป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่ง และเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ประเพณีลอยกระทง



ประวัติวันลอยกระทง

ตำนานเล่าเรื่อง
ประเพณีลอยกระทงนั้นมีมาแต่โบราณ โดยมีคติความเชื่อหลายอย่าง เช่น เชื่อว่าเป็นการบูชาและขอขมา
แม่พระคงคา เป็นการสะเดาะเคราะห์ เป็นการบูชาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท เป็นต้น การลอยกระทงนิยมทำกันในวันเพ็ญ เดือน 12 ของทุก ๆ ปี อันเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลำคลองขึ้นสูงและ
อากาศเริ่มเย็นลง ตามพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน และตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้กล่าวว่า นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กระทงสำหรับลอยประทีป
เป็นรูปดอกบัวบานขึ้น ซึ่งคนทั่วไปนิยมทำตามสืบต่อมา นอกจากนั้นในศิลาจารึกหลักที่ 1 ยังได้กล่าวถึงงานเผาเทียน
เล่นไฟ ของกรุงสุโขทัยไว้ด้วยว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้ผู้รู้ทั้งหลายสันนิษฐานต้องตรงกันว่า งานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

จุดเด่นของพิธีกรรม

การลอยกระทงเป็นนักขัตฤกษ์รื่นเริงของคนทั่วไป เมื่อเป็นพิธีหลวง เรียก " พระราชพิธีจองเปรียง
ลดชุดลอยโคมส่งน้ำ" ต่อมาเรียก "ลอยพระประทีป" พิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยดัง ปรากฏหลักฐานอยู่ใน
หนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ และได้กระทำต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดจนถึงสมัยกร ุงรัตนโกสินทร์
พิธีลอยกระทงเดิมทำกันในวันเพ็ญเดือน11 และวันเพ็ญเดือน12 ปัจจุบันพิธีลอยกระทงเฉพาะวันเพ็ญเดือน12
พิธีลอยกระทง สันนิษฐานว่าได้มาจากอินเดีย ตามลักธิพราหมณ์เชื่อว่า ลอยกระทงเพื่อบูชาแม่น้ำคงคง
อันศักค์สิทธิ์ของอินเดีย และลอยเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่กลางเกษียรสมุทร
อีกประการหนึ่ง ศาสนาพุทธเชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการทำพิธีเพื่อต้อน รับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จจากเทวโลก
สู่โลกมนุษย์ ภายหลังจากทรงเทศนาโปรด พุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บ้างก็เชื่อว่าเพื่อบูชา
พระบรมสารีริกธาตุ ที่บรรจุไว้ในพระจุฬามณี พระเจดีย์บนสวรรค์ บางก็ว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ทรง
ประทับไว้ ณ หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมหานทีในแคว้นทักขิณาบถ ของประเทศอินเดีย (ปัจจุบันเรียกว่า
แม่น้ำเนรพุททา) บางท่านก็ว่า ลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้เราได้อาศัยน้ำก ินน้ำใช้ และขออภัย
พระแม่คงคา ที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงในน้ำ เมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน 12 ประชาชนจะจัดทำกระทงเป็นรูปต่าง ๆ
ด้วยใบตอง หรือกาบใบต้นพลับพลึง หรือวัสดุอื่น ๆ ประดับตกแต่งกระทงให้สวยงามด้วยดอกไม้สดในกระทง
จะปักธูปเทียน บางทีก็ใส่สตางค์ หรือหมากพลูลงไปด้วยสมัยก่อนในพิธีลอยกระทงมีการเล่น สักวาเล่นเพลงเรือ
และมีแสดง มหรสพประกอบงานมีการประกวด นางนพมาศ ประกวด กระทงและร่วมกันลอยกระทง โดยจุด
ธูปเทียน กล่าวอธิษฐานตามที่ใจปรารถนาและปล่อยกระทงให้ลอยไปตา มน้ำ


จุดมุ่งหมายของการลอยกระทง

ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนชาวไทยตั้งแต่ครั้งโบราณ สรุปได้ 3 ประการ คือ
1. เชื่อว่าเป็นการบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิธีหน ึ่งโดยใช้น้ำที่ไหลไปเป็นพาหนะนำกระทง
ดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะพระองค์ท่านโดยจินตนาการประก อบกับเป็นช่วงฤดูน้ำหลากพระจันทร์
เต็มดวงในคืนวันเพ็ญเป็นบรรยากาศที่ทำให้คนในสมัยก่อ นซึ่งยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น เกิดความสุขสงบเป็นพิเศษจึงได้จัดพิธีบูชาพระพุทธคุณ ด้วยกระทงดอกไม้ธูปเทียนพร้อมกับงานรื่นเริงอื่น ๆ
2.เชื่อว่าเป็นการลอยความทุกข์โศกของตนที่มีอยู่ให้อ อกไปจากตัวกับสายน้ำที่ไหลไปนั้นพร้อม
กับตั้งจิตอธิษฐานขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ตนและคร อบครัวได้รับแต่สิ่งที่ดี
3.เชื่อว่าเป็นการขอขมาต่อน้ำโดยเฉพาะแม่น้ำลำคลองซึ ่งมีคุณอย่างอเนกอนันต์ต่อคนสมัยก่อน ทั้งเรื่องใช้อาบชะล้างสิ่งต่างๆประจำวันรวมทั้งการเ พาะปลูกการคมนาคมถือว่าเป็นการกระทำล่วง
เกินให้น้ำสกปรกจึงได้ทำพิธีขอขมาอย่างเป็นพิธีการอย ่างน้อยปีละครั้ง


ความหมาย
ลอยกระทง หมายถึง ประเพณีบูชารอยพระพุทธบาท แสดงความ สำนึกบุญคุณของแหล่งน้ำอันมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิ ตและเป็นการ การบูชาพระแม่คงคาเทวีตามความเชื่อแต่โบราณด้วยกระทง ดอกไม้ธูป เทียน ประกอบกับสิ่งประดิษฐ์จากธรรมชาติที่ลอยน้ำได้



ประเพณีลอยกระทง นับเป็นประเพณีที่มีคุณค่าต่อ ครอบครัวชุมชน สังคม และศาสนา กล่าวคือ

๑. คุณค่าต่อครอบครัว ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ทำ กิจกรรมร่วมกัน เช่น การประดิษฐ์กระทง แล้วนำไปลอยน้ำ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อน้ำที่ให้คุณประโยชน์แก ่เรา บางท้องถิ่นจะลอยเพื่อเป็นการแสดงความระลึกถึงบรรพบุ รุษอีกด้วย
๒. คุณค่าต่อชุมชน ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี ในชุมชนเช่น ร่วมกันคิดประดิษฐ์กระทงเป็นการส่งเสริมและ สืบทอดศิลปกรรมด้านช่างฝีมืออีกด้วย ทั้งยังเป็นการพบปะ สังสรรค์ สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจร่วมกัน
๓. คุณค่าต่อสังคม ทำให้มีความเอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการช่วยกันรักษาความสะอาดแม่น้ำ ลำคลอง โดยการขุดลอก เก็บขยะในแม่น้ำลำคลองให้สะอาด และไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ในแม่น้ำลำคลองอีกด้วย
๔. คุณค่าต่อศาสนา ช่วยกันรักษาทำนุบำรุงศาสนา เช่น ทางภาคเหนือ ลอยกระทงเพื่อเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทของ พระพุทธเจ้า และยังจัดให้มีการทำบุญให้ทาน การปฏิบัติธรรม และฟังเทศน์ด้วย

กิจกรรมที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน

๑. การทำความสะอาดแม่น้ำ ลำคลอง เช่น ขุด ลอก คูคลอง
๒. การทำบุญให้ทาน
๓. การปฏิบัติธรรม การฟังเทศน์
๔. การประดิษฐ์กระทงใหญ่ กระทงเล็ก
๕. การจัดกิจกรรมการประกวดต่าง ๆ เช่น การประกวด กระทง การประกวดนางนพมาศ ประกวดโคมลอย
๖. การจัดขบวนแห่กระทง
๗. การนำกระทงไปลอยในแม่น้ำ
๘. การปล่อยโคมลอย
๙. การจุดดอกไม้ไฟ ประทัด หรือพลุ เพื่อเป็นการ เฉลิมฉลอง
๑๐. การละเล่นรื่นเริง ตามท้องถิ่นนั้น ๆ

กิจกรรมที่เบี่ยงเบนไป

๑. การจุดดอกไม้ไฟ ประทัด หรือพลุ โดยเฉพาะเด็กและ วัยรุ่นจุดเล่นกันอย่างคึกคะนองไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่ระมัดระวัง จุดเล่นตามถนนหนทาง โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดแก่ผู้คน และยวดยานที่สัญจรไปมาและอาจเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไ หม้ บ้านเรือนได้
๒. การประกวดนางนพมาศ ให้ความสำคัญมากเกินไป ถือเป็นกิจกรรมหลักของประเพณี ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่แก่นแท้ ของประเพณีเลย เป็นเพียงกิจกรรมที่เสริมขึ้นมาภายหลังเพื่อให้ เกิดความสนุกสนานและเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว
๓. การประดิษฐ์กระทง สมัยก่อนใช้วัสดุพื้นบ้านหรือ ตามธรรมชาติ เช่น ทำจากใบตอง หยวกกล้วย ซึ่งเป็นวัสดุที่ ย่อยสลายง่าย แต่ปัจจุบันกลับนิยมใช้วัสดุโฟม ซึ่งย่อยสลายยาก ทำให้แม่น้ำลำคลอง สกปรก เน่าเหม็น เกิดมลภาวะเป็นพิษ

คำถวายกระทงสำหรับลอยประทีป

มะยัง อิมินา ปะทีเปนะ นัมมะทายะ
นะทิยา ปุเลเนฐิตัง มุนิโน ปาทะวะลัญชัง อะภิปูเชมะ
อะยัง ปะทีเปนะ มุนิโน ปาทะวะลัญชัสสะ บูชา
อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ สังฆวัตตะตุ

การลอยกระทงของชาวเหนือ (ยี่เป็ง)
การลอยกระทงของชาวเหนือ นิยมทำกันในเดือนยี่เป็ง (คือเดือนยี่หรือเดือนสอง เพราะนับวันเร็วกว่าของเรา 2 เดือน) เพื่อบูชาพระอุปคุตต์ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกร รมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า



การลอยกระทงของชาวอีสาน (ไหลเรือไฟ)
การลอยกระทงในภาคอีสาน เรียกว่าเทศกาลไหลเรือไฟจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ในจัง หวัดนครพนม โดยการนำหยวกกล้วยหรือวัสดุต่างๆ มาตกแต่งเป็นรูปพญานาคและรูปอื่นๆ ตอนกลางคืนจุดไฟปล่อยให้ไหลไปตามลำน้ำโขงดูสวยงามตระ การตา นอกจากนี้ยังมีประเพณีลอยกระทงในประเทศต่างๆ เช่นที่เขมร จีน อินเดีย โดยมีคติความเชื่อและประวัติความเป็นมาตรงกันบ้างแตก ต่างกันไปบ้าง



การลอยกระทงในปัจจุบัน
การลอยกระทงในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามสมควร เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 12 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมช าติ เช่น หยวกกล้วยและดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวัง พร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้กระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ

ประวัติวันลอยกระทง



เพลง ลอยกระทง

การออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์






ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์

สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยเปลี่ยนไป มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ความขี้เกียจเข้าสิงคนส่วนใหญ่ สังคมคนเมืองใช้ชีวิตบนโต๊ะทำงาน หน้าคอมพิวเตอร์ หน้าจอมอนิเตอร์ แม้กระทั่งตัวแพทย์เองก็ยังใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อสุขภาพขาดการออกกำลังกาย ใช้รถแทนการเดิน ใช้ลิฟต์แทนการขึ้นบันได รูปร่างของคนเมืองอ้วนขึ้น สิ่งเหล่านี้คือปัญหาสุขภาพของสังคมเมือง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
คำว่า “aerobics” มาจากรากศัพท์กรีกโบราณแปลว่า “อากาศกับชีวิต” (airlife) ซึ่งมีนัยว่าต้องมีออกซิเจน (Oxygen) เกี่ยวข้องด้วย หมายถึง ความต้องการอากาศ (ออกซิเจน) ของสิ่งมีชีวิตในการดำเนินชีวิตให้อยู่ได้
แอโรบิกดานซ์ (Aerobics Dance) เป็นวิธีการออกกำลังกายชนิดหนึ่งที่นำเอาท่าบริหารกายต่างๆผสมผสานกับทักษะการเคลื่อนไหวเบื้องต้น และจังหวะเต้นรำที่จะกระตุ้นให้หัวใจและปอดต้องทำงานมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่นานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการสร้างบรรยากาศในการออกกำลังกายที่สนุกสนานรื่นเริงลืมความเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายได้ ทั้งยังสร้างความแข็งแรง ความทนทานของระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือด หัวใจและปอดได้ดีขึ้น ทำให้รูปร่างสมส่วนมีบุคลิกภาพที่ดี
การออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั้น เป็นที่นิยมในปัจจุบันในรูปแบบของ แอโรบิกดานซ์ AEROBIC DANCE ในต่างประเทศนั้น นิยมการออกกำลังกายที่แตกต่างกันไป ในประเทศจีนนั้น เป็นการออกกำลังกายในตอนเช้า ในประเทศ ในประเทศเยอร์มันนิยมการออกกำลังกายที่เรียกว่าGYMNASTIC AEROBIC หรือในยุโรปอาจเรียกว่า GYMNASAPATA และพบหลักฐานว่า ในยุโรปนั้นรู้จักการออกกำลังกายแบบแอโรบิคมานานกว่า 100 ปี แต่ไม่มีหรือไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีเข้าประกอบจังหวะท่าทาง ต่อมาสหรัฐอเมริกา ได้นำดนตรีเข้าประกอบจังหวะท่าทาง ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้นำดนตรีเข้ามาประกอบ ทำให้เกิดความนิยมแพร่หลายขึ้นในปัจจุบัน และได้มีการเรียกชื่อกันหลายอย่างเช่น Slimnastic Aerobic, Jazz dance , Jagging Dance of Aerobic Dance ซึ่งหลักการเรียกชื่อนั้นอาจเป็นไปตามลักษณะท่าทางที่ประกอบหรือดนตรีที่ประกอบนั่นเอง สรุปแล้วก็มาจากการบริหารกายประกอบดนตรีนั่นเองประวัติความเป็นมาของแอโรบิกดานซ์
คำว่า AEROBIC นั้น นายแพทย์ เคนเน็ธ คูเปอร์ ของสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 1968 เป็นผู้เสนอหรือเรียกเป็นคนแรก และได้ให้ความหมายของแอโรบิกเอ็กเซอร์ไซส์ (Aerobics Exercise) ว่า “เป็นการส่งเสริมการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและใช้ออกซิเจนนั้น” และยังได้คิดค้นวิธีออกกำลังกาย โดยเขียนเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับความรู้เรื่องการออกกำลังกายที่ต้องอาศัยอากาศ (Aerobics Exercise) ขึ้นในปี ค.ศ. 1968 ปรากฏว่าหนังสือได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมจากกลุ่มคนทั่วไป เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปฝึกปฏิบัติ และหลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ได้มีการประยุกต์ให้เป็นการออกกำลงกายที่เรียกว่า “แจ๊สเซอร์” โดยครูฝึกเต้นรำจังหวะแจ๊ส ชื่อ จูดี้เชพพาร์ด มิสเซตต์ ได้นำเอาการฝึกการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเอ็กเซอร์ไซส์มาผสมผสานกับการเต้นรำแจ๊ส ซึ่งได้รับความนิยมจากชาวอเมริกันในขณะนั้น
ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 แจ๊กกี้ โซเรนเซ่น ได้คิดค้นและพัฒนาการบริหารร่างกายโดยอาศัยหลักพื้นฐานของแอโรบิก มาปรปะยุกต์ให้เข้ากับจังหวะดนตรี รวมทั้งมีการเคลื่อนไหว ซึ่งต้องอาศัยหลักการของวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาประกอบด้วย จึงทำให้การออกกำลังกายในลักษณะดังกล่าวเกิดความสนุกสนาน และก่อให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงต่อร่างกาย
การออกกำลังกายด้วยการเคลื่อนไหว หรือการเต้นไปตามจังหวะเพลง จึงเป็นที่นิยมและรู้จัก
กันในชื่อที่เรียกโดยทั่วไปว่า แอโรบิกดานซ์ (Aerobics Dance) และยังได้มีการผลิตเป็นสื่อวีดีโอเทป เทปเพลง รวมทั้งชุดที่สวมใส่ในการเต้นแอโรบิกขึ้นมาเพื่อจำหน่าย นี่เป็นดัชนีที่ช่วยบอกถึงความนิยมในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ได้เป็นอย่างดี จากอเมริกาสู่ทวีปยุโรปและแพร่กระจายเข้ามาในทวีปเอเชีย นอกจากนี้เมื่อปี ค.ศ. 1984 ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 23 ณ นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำการเต้นแอโรบิกเข้ามาบรรจุเป็นหนึ่งในการแสดงในพิธีเปิดเพื่อเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันก็ได้บรรจุเขาเป็นหนึ่งในประเภทกีฬาเพื่อการแข่งขันชิงเหรียญทองทั้ง โอลิมปิก, เอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ เรียกว่า Sports Aerobics จัดอยู่ในกลุ่มประเภทกีฬายิมนัสติก
แต่แอโรบิกได้รับความนิยมอย่างสูงสุดจริง ๆ เมื่อ เจน ฟอนด้า อดีตดาราสาวจากฮอลลีวู๊ดของสหรัฐ ฯ ซึ่งเคยเป็นนักยิมนาสติกมาก่อน ได้เปิดสอนและจำหน่ายเสื้อผ้าชุดฝึก วีดีโอเทป แถบเพลงและหนังสือฝึกแอโรบิกดานซ์ ทำให้ประชาชนทั่วโลกรู้จักและฝึกกันอย่างจริงจัง ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ.1979 เป็นต้นมา
แอโรบิกดานซ์ในประเทศไทย
ประมาณปี พ.ศ. 2518 ประชาชนชาวไทยได้มีการตื่นตัวในการออกกำลังกายมากขึ้นทั้งนี้เพราะชาวไทยมีความเข้าใจในเรื่องของการศึกษามากขึ้น และเข้าใจถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายว่าสามารถลดโรคภัยไข้เจ็บได้ ในระหว่างปี พ. ศ. 2518 ได้มีกลุ่มนักธุรกิจเปิดสถานบริหารร่างกายขึ้น ซึ่งบริหารโดยคนไทย ซึ่งสืบสานและนำตัวอย่างมาจากสถานบริหารร่างกายโดยชาวอเมริกากันซึ่งเป็นนักธุรกิจมาทำงานในกรุงเทพ ฯ ในระยะแรกวิธีการสอนการออกกำลังกายสำหรับประชาชนที่เข้าไปร่วมกิจกรรมนั้น เป็นวิธีการบริหารร่างหายดังกล่าว ได้มีวิทยากรชื่ออาจารย์สุกัญยา มุสิกวัน ได้เข้าไปเป็นวิทยากรและเล็งเห็นว่า กิจกรรมที่จัดให้กับสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมบริหารร่างกายนั้นไม่เพียงพอกับการเสริมสร้างสมรรถภาพเท่าใดนัก ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2519 อาจารย์สุกัญยา มุสิกวัน จึงได้จัดกิจกรรมชื่อว่า Slimnastic ซึ่งมาจากคำว่า Slim + Gymnastic ซึ่งเป็นกิจกรรมบริหารร่างกายประกอบเพลง เป็นเครื่องมือในการออกกำลังกายสำหรับสมาชิก อันทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินมากขึ้น กิจกรรมดังกล่าว ได้เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายเบื้องต้นประกอบจังหวะดนตรีเป็นกิจกรรมบริหารร่างกายเพื่อลดสัดส่วนของร่างกาย ในปี พ.ศ. 2522 อาจารย์สุกัญยา มุสิกวัน (พานิชเจริญนาม) ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น และได้เดินทางกลับมาในปี พ.ศ. 2526 ได้เล็งเห็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวแบบ Slimnastic ควรเป็นไปในรูปแบบแอโรบิกดานซ์เหมือนสากล จึงได้เริ่มสอนและได้จัดอบรมให้ผู้ที่สนใจและลูกศิษย์ ให้นำไปเผยแพร่ทั่วประเทศ โดยจัดในรูปสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ณ สนามกีฬาแห่งชาติ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 130 คน จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และนับจากปี 2526 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แอโรบิกดานซ์จึงเป็นกิจกรรมที่แพร่หลาย และมีการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา และด้านเอกชน ก็เปิดบริการให้ประชาชนทั่วไปฝึกร่างกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทนและได้มาซึ่งรูปร่างที่ดี การออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ ได้มีการพัฒนาและมีวิวัฒนาการเป็นการออกกำลังกายได้หลายรูปแบบ เช่น แอโรบิกดานซ์แบบแจซเซอร์ไซด์ แอโรบิกในน้ำ เสต็ปแอโรบิก เพื่อให้มีความหลากหลายมากขึ้น มีความสนุกสนานจากการออกกำลังกายและคงการออกกำลังกายให้นานที่สุด ที่สำคัญก็เพื่อประโยชน์จากการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ และเป็นการออกกำลังกายที่สนุกสนานและได้ประโยชน์มากที่สุดนั่นเอง
ความหมายและประเภทของแอบิกดานซ์
แอโรบิกดานซ์ (Aerobics Dance) หมายถึง วิธีการออกกำลังกายชนิดหนึ่งที่นำเอาท่าบริหารกายต่างๆผสมผสานกับทักษะการเคลื่อนไหวเบื้องต้น และจังหวะเต้นรำที่จะกระตุ้นให้หัวใจและปอดต้องทำงานมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่นานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการสร้างบรรยากาศในการออกกำลังกายที่สนุกสนานรื่นเริงลืมความเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายได้ ทั้งยังสร้างความแข็งแรง ความทนทานของระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือด หัวใจและปอดได้ดีขึ้น ทำให้รูปร่างสมส่วนมีบุคลิกภาพที่ดี
ประเภทของการเต้นแอโรบิก
การเต้นแอโรบิกในปัจจุบันมีหลายแบบด้วยกัน ถ้านำลักษณะการเคลื่อนไหวเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทจะสามารถแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้
1. การเต้นที่มีแรงกระแทกต่ำ (Low – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกต่ำ เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของการกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้นที่มีบ้างเล็กน้อยหรือเกือบจะไม่มีเลย เช่น สปริงข้อเท่า การย่อเข่าการเดิน เป็นต้น
2. การเต้นที่มีแรงกระแทกสูง (High – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกสูง เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของการกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้นที่ค่อนข้างจะรุนแรง เช่น การกระโดดลอยตัวและลงสู่พื้นด้วยเท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือด้วยเท้าทั้งสองข้าง
3. การเต้นที่มีแรงกระแทกหลากหลาย (Multi – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกหลากหลายเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของแรงกระแทกต่ำและแรงกระแทกสูงผสมกัน ซึ่งผู้เต้นจะใช้แรงกระแทกต่ำหรือแรงกระแทกสูงมากน้อยเพียงใด ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของผู้เต้นและจังหวะเพลง
4. การเต้นที่ปราศจากแรงกระแทก (No – impact aerobics dance) การเต้นแอโรบิกที่ปราศจากแรงกระแทก เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไม่มีแรงกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้น เช่น การเต้นแอโรบิกในน้ำ เป็นต้น
จุดมุ่งหมายสำคัญของการออกกำลังกายด้วยแอโรบิก
จุดมุ่งหมายสำคัญของการออกกำลังกายด้วยแอโรบิกเพื่อทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนให้มากที่สุด เท่าที่ร่างกายจะใช้ได้ ในเวลาที่กำหนด (ซึ่งจะไม่เท่ากันในแต่ละคน) ซึ่งในการออกกำลังกายด้วยแอโรบิกนี้ ส่วน ของร่างกายที่จะต้องปรับตัวให้ทันกันก็คือ
1. ระบบหายใจจะต้องเร็วและแรงมากขึ้น เพื่อจะได้นำเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น พอที่ จะไปฟอกเลือดที่จะต้องหมุนเวียนมากขึ้น
2. หัวใจจะต้องเต้นเร็วและแรงขึ้น เพื่อจะได้สูบฉีดเลือดได้มากขึ้น เพราะขณะที่ออกกำลังกาย อย่างหนักนั้น กล้ามเนื้อจะต้องการเลือดมากขึ้นประมาณ 10 เท่า
3. หลอดเลือดทั้งใหญ่และเล็กจะต้องขยายตัวเพื่อให้สามารถนำเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการออกกำลังกายมากมายหลายอย่างที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจน แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย ด้วยแอโรบิก เพราะทำไปแล้วไม่เกิดผลจาการฝึก เช่น การวิ่งระยะสั้น ที่แม้ผู้วิ่งจะเหนื่อยมากระหว่างที่วิ่ง แต่ก็ด้วย เวลาที่สั้นมาก หรือการยกน้ำหนักนับร้อยกิโลกรัม ซึ่งก็เป็นงานที่หนัก การใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวหรือนักกล้ามที่ ออกกำลังกายจนมีกล้ามมัดโตๆ แต่ปอดและหัวใจอาจจะไม่มีความแข็งแรงทนทานเลยก็ได้
สรุปว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้น จะต้องทำให้หนักพอ จนหัวใจเต้นเร็วขึ้นจนถึงอัตราที่เป้าหมาย จะต้องทำติดต่อกันให้นานพอประมาณถึง 15 ถึง 45 นาที (ถ้าทำหนักมากก็ใช้เวลาน้อย แต่ถ้าทำหนักน้อยก็ใช้เวลามาก) ต้องทำบ่อยพอ คืออย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถึง 5 ครั้ง อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายที่ไม่หนักจนถึงขั้นแอโรบิกนั้น แม้จะไม่เกิดผลจากการฝึกอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวม และดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเลยอย่างแน่นอน
องค์ประกอบสำคัญในการเข้าร่วมการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ (FFIT)
FUN (F = สนุกสนาน ท้าทายความสามารถ) ต้องเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและท้าทายความสามารถ ไม่น่าเบื่อ กิจกรรมที่จัดควรหลากหลาย จัดให้เหมาะสมกับความต้องการ เพศ วัย และระดับความสามารถ
Frequency ( F = ความบ่อย) ควรเต้นอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ และอย่างมาก 6 วันต่อสัปดาห์ โดยให้มีวันพัก 1 วันต่อสัปดาห์ เพราะจะมีผลช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภายในร่างกาย เช่น ความดันเลือด ระดับคอเลสเตอรอล การไหลเวียนโลหิต และการคงสภาพความสามารถทางด้านร่างกาย
Intensity (I= ความหนัก) การออกกำลังกายจะหนักหรือไม่หนักเพียงใด อัตราการเต้นของหัวใจ (ชีพจร)จะเป็นตัวบ่งชี้ ให้แต่ละบุคคลสามารถตัดสินใจในการออกกำลังกายของตนโดยใช้สูตรของคาร์โวเนน (Karvonen Formula) ในการคำนวณหาอัตราชีพจรเป้าหมายหรือความหนักเป้าหมาย (Target Heart Rate : THR) ตามระดับความสามารถหรือความฟิตและอายุของบุคคลนั้น เพื่อกำหนดความหนักในการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด โดยสูตรนี้กำหนดความหนักแนะนำอยู่ระหว่าง 65-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด
Time (T= ระยะเวลา) ควรจะออกกำลังกายนานเท่าใด เป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาระยะเวลาในการออกกำลังกายที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกำลังกาย ความฟิต อายุ จุดมุ่งหมายแแรงจูงใจในการออกกำลังกาย เวลาในการออกกำลังกายประมาณ 15-60 นาทีก็ได้ เช่น การออกกำลังกายที่มีความหนักหรือความเข้มสูง อาจจะกำหนดเวลาที่สั้นกว่าการออกกำลังกายที่เบาที่ต้องใช้ระยะเวลาที่นานกว่า และการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์สูงสุดและลดอัตราการเสี่ยงอันตรายจากการเต้น คือ การเต้นที่มีความหนักปานกลางในระยะเวลาที่นานกว่า คือ ประมาณ 45-60 นาที และควรเป็นการเต้นแบบแรงกระแทกต่ำ (Low Impact)
ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ให้ทั้งคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจำแนกออกเป็นข้อๆ ดังนี้
1. เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งการเต้นแอโรบิกจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของร่างกายโดยทั่วไป หรือสามารถเน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนได้ ซึ่งผู้ออกกำลังกายสามารถเลือกท่าบริหารเพื่อจะเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในส่วนที่ตนต้องการ
2. เพื่อเพิ่มความทนทานของร่างกาย โดยทั่วไปความทนทานของร่างกายจะแยกออกเป็น ความทนทานของกล้ามเนื้อและความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งเป็นความทนทานที่ช่วยให้ร่างกายสามารถทำลานได้เป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่เกิดความเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกายแบบเต้นแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ จะมีผลให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้ดี มีความจุปอดเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นไปด้วยดี ขณะออกกำลังกายจะเหนื่อยช้าและหายเหนื่อยเร็วขึ้น
3. เพื่อเพิ่มความอ่อนตัวของร่างกาย การบริหารร่างกายในท่าที่ช้า โดยเน้นเกี่ยวกับแรงต้านทานความตึงของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็นให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มมุมของข้อต่อในการเคลื่อนไหวแต่ละจังหวะอีกด้วย ผู้ที่มีความอ่อนตัวของร่างกายสูงสามารถป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
4. เพื่อช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกาย ทำงานประสานกันด้วยดี เช่น ระบบประสาท ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร แม้แต่ระบบขับถ่าย ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของระบบต่าง ๆ มีผลทำให้ร่างกายสามารถปรับตัวและเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย เป็นผลจากการออกกำลังกายแบบเต้นแอโรบิก
5. เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี การเต้นแอโรบิก คือองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อการช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี ซึ่งสามารถแก้ไขความบกพร่องของร่างกาย ที่ทำให้บุคลิกภาพเสียไป เช่น ท่าทางการยืน การเดิน ความอ้วนจนเกินไปนั้นทำให้แลดูไม่มีสง่าราศี การจัดโปรแกรมการเต้นแอโรบิกด้วยท่าทีเหมาะสม จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ได้
6. เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย การเต้นแอโรบิก เป็นการออกกำลังกายที่เคลื่อนไหว ไปตามจังหวะของเสียงเพลงนอกจากจะทำให้ผู้เต้นเกิดความแข็งแรงยังสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดขณะออกกำลังกาย ซึ่งส่งผลให้จิตใจไร้ความกังวล
7. ประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายช่วยชะลอความแก่ ช่วยลดน้ำหนักตัวส่วนเกินและเพิ่มน้ำหนักตัวส่วนที่ยังขาด ช่วยเสริมสร้างความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีระเบียบวินัย ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ช่วยให้สมองเริ่มทำงานได้อย่างฉับไว ทั้งนี้การเต้นแอโรบิกต้องปฏิบัติตามหลักและวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้องทั้งก่อนเต้น ขณะเต้น และหลังการเต้น เพื่อร่างกายจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการเต้นแอโรบิก
อุปกรณ์ประกอบการเต้นแอโรบิกดานซ์
1. รองเท้าและถุงเท้า เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นที่สุด เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บ ควรใช้รองเท้าที่ออกแบบไว้สำหรับการเต้นแอโรบิก ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกในแนวดิ่งแรงกดบิส่วนต่าง ๆ ของเท้าและข้อเท้า ซึ่งเกิดจาการเคลื่อนที่ในแนวราบทุกทิศทาง ผู้เต้นไม่ควรเสี่ยงกับรองเท้าเก่าหมดอายุแล้ว รองเท้าสำหรับการเต้นแอโรบิกควรมีลักษณะโดยสรุป ดังนี้
1.1 บริเวณส่วนบนของหุ้มส้น จะต้องสูงขึ้นและมีแผ่นนุ่มรองรับบริเวณตรงกับเอ็นร้อย หวาย เพื่อป้องกันไม่ให้ระคายเคืองต่อเอ็น
1.2 ด้านข้างของบริเวณหุ้มส้นทั้งสองด้านจะต้องแข็งแรง เพื่อป้องกันการบิดหมุนของส้นเท้า ทำให้บริเวณส้นเกิดความมั่นคง
1.3 บริเวณปลายเท้าจะต้องหนุนขึ้น (อย่างน้อยครึ่งนิ้ว) เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วและเล็บถูก เบียด ซึ่งจะทำให้เกิดเลือดคลั่งในเล็บได้ และช่วยยืดอายุการใช้งานของรองเท้าจากการเคลื่อนไหวที่ รวดเร็ว
1.4 ลิ้นรองเท้าจะต้องบุให้นิ่ม และปิดส่วนบนของฝ่าเท้าได้หมด เพื่อป้องกันเอ็นและ กล้ามเนื้อกระดูก ถูกเสียดสีและระคายเคืองจนอักเสบได้
1.5 บริเวณเส้นรองเท้าจะต้องฝานให้เป็นรูปมน เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวจังหวะต่อไป เป็นไปได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
1.6 ที่ส้นรองเท้าจะยกสูงขึ้นและมีความยืดหยุ่นดีพอ เพื่อจะรับแรงกระแทกของส้นเท้าได้
1.7 พื้นรองเท้าบริเวณกึ่งกลางจะต้องพับงอได้ เพื่อการเคลื่อนไหวที่คล่องตัวและป้องกัน การบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย
1.8 พื้นรองเท้าควรมีลายที่ช่วยลดแรงกระแทกและยึดเกาะพื้นไม่ให้เลื่อน
1.9 ที่รองพื้นรองเท้าด้านใน ควรมีฟองน้ำเสริมอุ้งเท้า เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บบริเวณ ส้นเท้า การอักเสบของพังผืดยึดกระดูกฝ่าเท้า ผู้เล่นไม่ควรเสี่ยงกับรองเท้าเก่าหรือหมดอายุแล้ว
2. ชุดออกกำลังกาย ควรลักกุม ง่ายต่อการเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเต็มที่ เนื้อผ้าระบาย ความร้อนและซับเหงื่อได้ดีไม่จำเป็นต้องราคาแพง ควรเป็นผ้ายืด การสวมชุดรัดรูป หรือเป็นชุดออกกำลัง กายที่เป็นชุดกางเกงติดกับเสื้อ ( Leotard ) จะช่วยให้ผู้สวมใส่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายขณะบริหาร เสื้อจะไม่เลื่อนหลุดขึ้นมาเหนือเอว อีกทั้งช่วยให้ผู้สวมใส่มองเห็นท่าทางการ เคลื่อนไหวของร่างกายของตนเองได้ชัดเจนหรือทำให้เห็นรูปทรงส่วนเกิน ส่วนขาดที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ให้เข้าที่เข้าทาง
3. เสื้อชั้นใน ให้รัดพอดี รอบ ๆ ส่วนที่เป็น cup ถ้าเป็นชนิดไม่มีตะเข็บ (seamless) ที่ ผลิตออกมาโดยปั้มจากพิมพ์ ไม่ควรใส่ เพราะยกทรงแบบเต็มตัว เมื่อออกกำลังกายแล้ว จะทำให้กล้ามเนื้อ บริเวณหลังและใต้อกเคลื่อนไหวได้ยาก
4. กางเกงชั้นใน ไม่ควรใส่แบบที่รัดมากที่เรียกว่า สเตย์ เพราะเวลาออกกำลังกายกล้ามเนื้อ ส่วนนั้นจะเคลื่อนไหวได้ยาก ทำให้โลหิตบริเวณนั้นไหลเวียนไม่สะดวก เกิดผลเสียแก่อวัยวะสืบพันธุ์ในอุ้ง เชิงก้านด้วย ควรเลือกใช้กางเกงชั้นในที่มีความกระชับพอดี ถ้าเป็นผ้าที่ผสมฝ้ายมากยิ่งดี
5. เพลงประกอบการเต้นหรือดนตรี เพลงที่ใช้ควรเป็นเพลงที่ชื่นชอบของผู้ออกกำลังกาย มี จังหวะชัดเจน มีความเร็วพอดีกับการเปลี่ยนไปตามขั้นตอนของการออกกำลังกายช่วงต่าง ๆ เพลงที่ใช้ ประกอบมักมีหลายเพลง ซึ่งควรต่อเนื่องกันตลอดระยะเวลาการเต้น (Non-Stop) หรือ (Medley)
6. สถานที่ อาจเป็นกลางแจ้งหรือในร่ม ควรมีการระบายอากาศที่ดี มีเนื้อที่ว่างพอสมควร ไม่มีสิ่งเกะกะเกียดขวาง พื้นที่เรียบแต่ไม่ลื่น และควรมีคุณสมบัติผ่อนแรงกระแทก เช่นพื้นไม้เนื้อแข็งที่ โปร่งด้านล่าง พื้นกระเบื้องยาง ไม่ควรเต้นพื้นคอนกรีตหรือพื้นคอนกรีตปูทับด้วยพรม
7. เครื่องมืออื่น ๆ ได้แก่ Step Band, Hand weight, Elastic tubing, Elastic band ฯลฯ

การจัดระดับหรือชั้นของผู้ที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์
ผู้ที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ ควรเข้าร่วมออกกำลังกายในชั้นที่เหมาะสมกับความสามารถ สมรรถภาพหรือจุดประสงค์ของการออกกำลังกาย การเต้นควรเริ่มจากง่ายไปหายาก จากเบาไปหนัก เพื่อให้ได้ผลเต็มที่และมีความปลอดภัย โดยแบ่งระดับความสามารถในการเต้นแอโรบิก เป็น 3 ระดับ คือ
1. ระดับเริ่มต้น เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเต้น ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน หรือผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง เป็นการฝึกเทคนิคการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน การวางท่า การบังคับการเคลื่อนไหว ร่างกายเฉพาะส่วน ท่าที่ใช้ในการเต้นจะง่ายและปลอดภัย ผู้เต้นควรหาโอกสาเรียนรู้ประโยชน์จากท่ากายบริหารต่าง ๆ และอันตรายจากท่าที่ไม่ถูกต้อง ควรฝึกประสาทสัมผัส เรียนรู้วิธีการใช้กำลังให้เต็มที่ เพื่อความหนักของงาน จังหวะในการเต้นช้า จังหวะเพลงชัดเจน ฝึกนับจังหวะการเคลื่อนไหวให้เข้าจังหวะและจัดลำดับท่า โดยทั่วไปใช้เวลาในการเต้น 30 ยาที เมื่อผู้เต้นสามารถปรับตัวได้จึงค่อย ๆ เพิ่มความยาก ความหนักและความนานของการเต้นต่อไป
2. ระดับกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการเต้นระดับเริ่มต้นมาแล้ว โดยมีประสบการณ์ในการเต้นอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 6 เดือน หรือผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง พอที่จะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ถูกต้องและคล่องแคล่ว คุ้นเคยกับท่าพื้นฐานต่าง ๆ สามารทำได้เร็วขึ้น หนักและนานขึ้นเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพหรือผู้ที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำ
3. ระดับสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ชำนาญในการเต้นและมีประสบการณ์มานาน ผู้เต้นควรมีความสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่ มีความคล่องแคล่วว่องไว มีความอ่อนตัว การทรงตัวและประสาทสัมผัสดี สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้ดี การเต้นระดับนี้มีความยากซับซ้อนและใช้กำลังเต็มที่จึงเหมาะสำหรับผู้นำการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์
หลักการฝึกแอโรบิกด๊านซ์
1. เลือกท่าฝึกให้เหมาะกับสภาพของเพศและวัย กล่าวคือ ควรเป็นท่าที่สามารถทำได้ง่าย และไม่ขัดต่อสภาพร่างกายและความรู้สึก

2. ฝึกจากท่าง่ายไปหาท่ายาก จากเบาไปหาหนัก


3. ควรฝึกในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก


4. เน้นบริหารร่างกายส่วนไหน ก็ให้เลือกท่าที่ต้องใช้กล้ามเนื้อนั้นมาก ๆ เช่นต้องการลดไขมันที่หน้าท้อง ก็เลือกฝึกท่าที่ใช้กล้ามเนื้อท้องมาก ๆ


5. เวลา สถานที่ฝึก ไม่จำกัด ว่างเมื่อใด สถานที่ไหนก็ได้


6. เลือกท่าบริหารกายและฝึกให้ครบทุก ๆ ส่วนของร่างกาย


7.ชุดฝึกควรเป็นผ้ายืดและผ้าที่ใส่สบายไม่คับเกินไปหรือหลวมเกินไปสามารถระบายความร้อนได้ดี

...............ตัวอย่างการออกกำลังกายแอโรบิค.....................



.............แอโรบิคสำหรับเด็ก..............................