สไลด์โชว์

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ประเพณีลอยกระทง



ประวัติวันลอยกระทง

ตำนานเล่าเรื่อง
ประเพณีลอยกระทงนั้นมีมาแต่โบราณ โดยมีคติความเชื่อหลายอย่าง เช่น เชื่อว่าเป็นการบูชาและขอขมา
แม่พระคงคา เป็นการสะเดาะเคราะห์ เป็นการบูชาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท เป็นต้น การลอยกระทงนิยมทำกันในวันเพ็ญ เดือน 12 ของทุก ๆ ปี อันเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลำคลองขึ้นสูงและ
อากาศเริ่มเย็นลง ตามพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน และตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้กล่าวว่า นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กระทงสำหรับลอยประทีป
เป็นรูปดอกบัวบานขึ้น ซึ่งคนทั่วไปนิยมทำตามสืบต่อมา นอกจากนั้นในศิลาจารึกหลักที่ 1 ยังได้กล่าวถึงงานเผาเทียน
เล่นไฟ ของกรุงสุโขทัยไว้ด้วยว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้ผู้รู้ทั้งหลายสันนิษฐานต้องตรงกันว่า งานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

จุดเด่นของพิธีกรรม

การลอยกระทงเป็นนักขัตฤกษ์รื่นเริงของคนทั่วไป เมื่อเป็นพิธีหลวง เรียก " พระราชพิธีจองเปรียง
ลดชุดลอยโคมส่งน้ำ" ต่อมาเรียก "ลอยพระประทีป" พิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยดัง ปรากฏหลักฐานอยู่ใน
หนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ และได้กระทำต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดจนถึงสมัยกร ุงรัตนโกสินทร์
พิธีลอยกระทงเดิมทำกันในวันเพ็ญเดือน11 และวันเพ็ญเดือน12 ปัจจุบันพิธีลอยกระทงเฉพาะวันเพ็ญเดือน12
พิธีลอยกระทง สันนิษฐานว่าได้มาจากอินเดีย ตามลักธิพราหมณ์เชื่อว่า ลอยกระทงเพื่อบูชาแม่น้ำคงคง
อันศักค์สิทธิ์ของอินเดีย และลอยเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่กลางเกษียรสมุทร
อีกประการหนึ่ง ศาสนาพุทธเชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการทำพิธีเพื่อต้อน รับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จจากเทวโลก
สู่โลกมนุษย์ ภายหลังจากทรงเทศนาโปรด พุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บ้างก็เชื่อว่าเพื่อบูชา
พระบรมสารีริกธาตุ ที่บรรจุไว้ในพระจุฬามณี พระเจดีย์บนสวรรค์ บางก็ว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ทรง
ประทับไว้ ณ หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมหานทีในแคว้นทักขิณาบถ ของประเทศอินเดีย (ปัจจุบันเรียกว่า
แม่น้ำเนรพุททา) บางท่านก็ว่า ลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้เราได้อาศัยน้ำก ินน้ำใช้ และขออภัย
พระแม่คงคา ที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงในน้ำ เมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน 12 ประชาชนจะจัดทำกระทงเป็นรูปต่าง ๆ
ด้วยใบตอง หรือกาบใบต้นพลับพลึง หรือวัสดุอื่น ๆ ประดับตกแต่งกระทงให้สวยงามด้วยดอกไม้สดในกระทง
จะปักธูปเทียน บางทีก็ใส่สตางค์ หรือหมากพลูลงไปด้วยสมัยก่อนในพิธีลอยกระทงมีการเล่น สักวาเล่นเพลงเรือ
และมีแสดง มหรสพประกอบงานมีการประกวด นางนพมาศ ประกวด กระทงและร่วมกันลอยกระทง โดยจุด
ธูปเทียน กล่าวอธิษฐานตามที่ใจปรารถนาและปล่อยกระทงให้ลอยไปตา มน้ำ


จุดมุ่งหมายของการลอยกระทง

ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนชาวไทยตั้งแต่ครั้งโบราณ สรุปได้ 3 ประการ คือ
1. เชื่อว่าเป็นการบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิธีหน ึ่งโดยใช้น้ำที่ไหลไปเป็นพาหนะนำกระทง
ดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะพระองค์ท่านโดยจินตนาการประก อบกับเป็นช่วงฤดูน้ำหลากพระจันทร์
เต็มดวงในคืนวันเพ็ญเป็นบรรยากาศที่ทำให้คนในสมัยก่อ นซึ่งยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น เกิดความสุขสงบเป็นพิเศษจึงได้จัดพิธีบูชาพระพุทธคุณ ด้วยกระทงดอกไม้ธูปเทียนพร้อมกับงานรื่นเริงอื่น ๆ
2.เชื่อว่าเป็นการลอยความทุกข์โศกของตนที่มีอยู่ให้อ อกไปจากตัวกับสายน้ำที่ไหลไปนั้นพร้อม
กับตั้งจิตอธิษฐานขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ตนและคร อบครัวได้รับแต่สิ่งที่ดี
3.เชื่อว่าเป็นการขอขมาต่อน้ำโดยเฉพาะแม่น้ำลำคลองซึ ่งมีคุณอย่างอเนกอนันต์ต่อคนสมัยก่อน ทั้งเรื่องใช้อาบชะล้างสิ่งต่างๆประจำวันรวมทั้งการเ พาะปลูกการคมนาคมถือว่าเป็นการกระทำล่วง
เกินให้น้ำสกปรกจึงได้ทำพิธีขอขมาอย่างเป็นพิธีการอย ่างน้อยปีละครั้ง


ความหมาย
ลอยกระทง หมายถึง ประเพณีบูชารอยพระพุทธบาท แสดงความ สำนึกบุญคุณของแหล่งน้ำอันมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิ ตและเป็นการ การบูชาพระแม่คงคาเทวีตามความเชื่อแต่โบราณด้วยกระทง ดอกไม้ธูป เทียน ประกอบกับสิ่งประดิษฐ์จากธรรมชาติที่ลอยน้ำได้



ประเพณีลอยกระทง นับเป็นประเพณีที่มีคุณค่าต่อ ครอบครัวชุมชน สังคม และศาสนา กล่าวคือ

๑. คุณค่าต่อครอบครัว ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ทำ กิจกรรมร่วมกัน เช่น การประดิษฐ์กระทง แล้วนำไปลอยน้ำ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อน้ำที่ให้คุณประโยชน์แก ่เรา บางท้องถิ่นจะลอยเพื่อเป็นการแสดงความระลึกถึงบรรพบุ รุษอีกด้วย
๒. คุณค่าต่อชุมชน ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี ในชุมชนเช่น ร่วมกันคิดประดิษฐ์กระทงเป็นการส่งเสริมและ สืบทอดศิลปกรรมด้านช่างฝีมืออีกด้วย ทั้งยังเป็นการพบปะ สังสรรค์ สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจร่วมกัน
๓. คุณค่าต่อสังคม ทำให้มีความเอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการช่วยกันรักษาความสะอาดแม่น้ำ ลำคลอง โดยการขุดลอก เก็บขยะในแม่น้ำลำคลองให้สะอาด และไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ในแม่น้ำลำคลองอีกด้วย
๔. คุณค่าต่อศาสนา ช่วยกันรักษาทำนุบำรุงศาสนา เช่น ทางภาคเหนือ ลอยกระทงเพื่อเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทของ พระพุทธเจ้า และยังจัดให้มีการทำบุญให้ทาน การปฏิบัติธรรม และฟังเทศน์ด้วย

กิจกรรมที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน

๑. การทำความสะอาดแม่น้ำ ลำคลอง เช่น ขุด ลอก คูคลอง
๒. การทำบุญให้ทาน
๓. การปฏิบัติธรรม การฟังเทศน์
๔. การประดิษฐ์กระทงใหญ่ กระทงเล็ก
๕. การจัดกิจกรรมการประกวดต่าง ๆ เช่น การประกวด กระทง การประกวดนางนพมาศ ประกวดโคมลอย
๖. การจัดขบวนแห่กระทง
๗. การนำกระทงไปลอยในแม่น้ำ
๘. การปล่อยโคมลอย
๙. การจุดดอกไม้ไฟ ประทัด หรือพลุ เพื่อเป็นการ เฉลิมฉลอง
๑๐. การละเล่นรื่นเริง ตามท้องถิ่นนั้น ๆ

กิจกรรมที่เบี่ยงเบนไป

๑. การจุดดอกไม้ไฟ ประทัด หรือพลุ โดยเฉพาะเด็กและ วัยรุ่นจุดเล่นกันอย่างคึกคะนองไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่ระมัดระวัง จุดเล่นตามถนนหนทาง โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดแก่ผู้คน และยวดยานที่สัญจรไปมาและอาจเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไ หม้ บ้านเรือนได้
๒. การประกวดนางนพมาศ ให้ความสำคัญมากเกินไป ถือเป็นกิจกรรมหลักของประเพณี ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่แก่นแท้ ของประเพณีเลย เป็นเพียงกิจกรรมที่เสริมขึ้นมาภายหลังเพื่อให้ เกิดความสนุกสนานและเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว
๓. การประดิษฐ์กระทง สมัยก่อนใช้วัสดุพื้นบ้านหรือ ตามธรรมชาติ เช่น ทำจากใบตอง หยวกกล้วย ซึ่งเป็นวัสดุที่ ย่อยสลายง่าย แต่ปัจจุบันกลับนิยมใช้วัสดุโฟม ซึ่งย่อยสลายยาก ทำให้แม่น้ำลำคลอง สกปรก เน่าเหม็น เกิดมลภาวะเป็นพิษ

คำถวายกระทงสำหรับลอยประทีป

มะยัง อิมินา ปะทีเปนะ นัมมะทายะ
นะทิยา ปุเลเนฐิตัง มุนิโน ปาทะวะลัญชัง อะภิปูเชมะ
อะยัง ปะทีเปนะ มุนิโน ปาทะวะลัญชัสสะ บูชา
อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ สังฆวัตตะตุ

การลอยกระทงของชาวเหนือ (ยี่เป็ง)
การลอยกระทงของชาวเหนือ นิยมทำกันในเดือนยี่เป็ง (คือเดือนยี่หรือเดือนสอง เพราะนับวันเร็วกว่าของเรา 2 เดือน) เพื่อบูชาพระอุปคุตต์ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกร รมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า



การลอยกระทงของชาวอีสาน (ไหลเรือไฟ)
การลอยกระทงในภาคอีสาน เรียกว่าเทศกาลไหลเรือไฟจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ในจัง หวัดนครพนม โดยการนำหยวกกล้วยหรือวัสดุต่างๆ มาตกแต่งเป็นรูปพญานาคและรูปอื่นๆ ตอนกลางคืนจุดไฟปล่อยให้ไหลไปตามลำน้ำโขงดูสวยงามตระ การตา นอกจากนี้ยังมีประเพณีลอยกระทงในประเทศต่างๆ เช่นที่เขมร จีน อินเดีย โดยมีคติความเชื่อและประวัติความเป็นมาตรงกันบ้างแตก ต่างกันไปบ้าง



การลอยกระทงในปัจจุบัน
การลอยกระทงในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามสมควร เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 12 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมช าติ เช่น หยวกกล้วยและดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวัง พร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้กระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ

ประวัติวันลอยกระทง



เพลง ลอยกระทง

การออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์






ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์

สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยเปลี่ยนไป มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ความขี้เกียจเข้าสิงคนส่วนใหญ่ สังคมคนเมืองใช้ชีวิตบนโต๊ะทำงาน หน้าคอมพิวเตอร์ หน้าจอมอนิเตอร์ แม้กระทั่งตัวแพทย์เองก็ยังใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อสุขภาพขาดการออกกำลังกาย ใช้รถแทนการเดิน ใช้ลิฟต์แทนการขึ้นบันได รูปร่างของคนเมืองอ้วนขึ้น สิ่งเหล่านี้คือปัญหาสุขภาพของสังคมเมือง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
คำว่า “aerobics” มาจากรากศัพท์กรีกโบราณแปลว่า “อากาศกับชีวิต” (airlife) ซึ่งมีนัยว่าต้องมีออกซิเจน (Oxygen) เกี่ยวข้องด้วย หมายถึง ความต้องการอากาศ (ออกซิเจน) ของสิ่งมีชีวิตในการดำเนินชีวิตให้อยู่ได้
แอโรบิกดานซ์ (Aerobics Dance) เป็นวิธีการออกกำลังกายชนิดหนึ่งที่นำเอาท่าบริหารกายต่างๆผสมผสานกับทักษะการเคลื่อนไหวเบื้องต้น และจังหวะเต้นรำที่จะกระตุ้นให้หัวใจและปอดต้องทำงานมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่นานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการสร้างบรรยากาศในการออกกำลังกายที่สนุกสนานรื่นเริงลืมความเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายได้ ทั้งยังสร้างความแข็งแรง ความทนทานของระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือด หัวใจและปอดได้ดีขึ้น ทำให้รูปร่างสมส่วนมีบุคลิกภาพที่ดี
การออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั้น เป็นที่นิยมในปัจจุบันในรูปแบบของ แอโรบิกดานซ์ AEROBIC DANCE ในต่างประเทศนั้น นิยมการออกกำลังกายที่แตกต่างกันไป ในประเทศจีนนั้น เป็นการออกกำลังกายในตอนเช้า ในประเทศ ในประเทศเยอร์มันนิยมการออกกำลังกายที่เรียกว่าGYMNASTIC AEROBIC หรือในยุโรปอาจเรียกว่า GYMNASAPATA และพบหลักฐานว่า ในยุโรปนั้นรู้จักการออกกำลังกายแบบแอโรบิคมานานกว่า 100 ปี แต่ไม่มีหรือไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีเข้าประกอบจังหวะท่าทาง ต่อมาสหรัฐอเมริกา ได้นำดนตรีเข้าประกอบจังหวะท่าทาง ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้นำดนตรีเข้ามาประกอบ ทำให้เกิดความนิยมแพร่หลายขึ้นในปัจจุบัน และได้มีการเรียกชื่อกันหลายอย่างเช่น Slimnastic Aerobic, Jazz dance , Jagging Dance of Aerobic Dance ซึ่งหลักการเรียกชื่อนั้นอาจเป็นไปตามลักษณะท่าทางที่ประกอบหรือดนตรีที่ประกอบนั่นเอง สรุปแล้วก็มาจากการบริหารกายประกอบดนตรีนั่นเองประวัติความเป็นมาของแอโรบิกดานซ์
คำว่า AEROBIC นั้น นายแพทย์ เคนเน็ธ คูเปอร์ ของสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 1968 เป็นผู้เสนอหรือเรียกเป็นคนแรก และได้ให้ความหมายของแอโรบิกเอ็กเซอร์ไซส์ (Aerobics Exercise) ว่า “เป็นการส่งเสริมการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและใช้ออกซิเจนนั้น” และยังได้คิดค้นวิธีออกกำลังกาย โดยเขียนเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับความรู้เรื่องการออกกำลังกายที่ต้องอาศัยอากาศ (Aerobics Exercise) ขึ้นในปี ค.ศ. 1968 ปรากฏว่าหนังสือได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมจากกลุ่มคนทั่วไป เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปฝึกปฏิบัติ และหลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ได้มีการประยุกต์ให้เป็นการออกกำลงกายที่เรียกว่า “แจ๊สเซอร์” โดยครูฝึกเต้นรำจังหวะแจ๊ส ชื่อ จูดี้เชพพาร์ด มิสเซตต์ ได้นำเอาการฝึกการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเอ็กเซอร์ไซส์มาผสมผสานกับการเต้นรำแจ๊ส ซึ่งได้รับความนิยมจากชาวอเมริกันในขณะนั้น
ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 แจ๊กกี้ โซเรนเซ่น ได้คิดค้นและพัฒนาการบริหารร่างกายโดยอาศัยหลักพื้นฐานของแอโรบิก มาปรปะยุกต์ให้เข้ากับจังหวะดนตรี รวมทั้งมีการเคลื่อนไหว ซึ่งต้องอาศัยหลักการของวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาประกอบด้วย จึงทำให้การออกกำลังกายในลักษณะดังกล่าวเกิดความสนุกสนาน และก่อให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงต่อร่างกาย
การออกกำลังกายด้วยการเคลื่อนไหว หรือการเต้นไปตามจังหวะเพลง จึงเป็นที่นิยมและรู้จัก
กันในชื่อที่เรียกโดยทั่วไปว่า แอโรบิกดานซ์ (Aerobics Dance) และยังได้มีการผลิตเป็นสื่อวีดีโอเทป เทปเพลง รวมทั้งชุดที่สวมใส่ในการเต้นแอโรบิกขึ้นมาเพื่อจำหน่าย นี่เป็นดัชนีที่ช่วยบอกถึงความนิยมในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ได้เป็นอย่างดี จากอเมริกาสู่ทวีปยุโรปและแพร่กระจายเข้ามาในทวีปเอเชีย นอกจากนี้เมื่อปี ค.ศ. 1984 ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 23 ณ นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำการเต้นแอโรบิกเข้ามาบรรจุเป็นหนึ่งในการแสดงในพิธีเปิดเพื่อเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันก็ได้บรรจุเขาเป็นหนึ่งในประเภทกีฬาเพื่อการแข่งขันชิงเหรียญทองทั้ง โอลิมปิก, เอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ เรียกว่า Sports Aerobics จัดอยู่ในกลุ่มประเภทกีฬายิมนัสติก
แต่แอโรบิกได้รับความนิยมอย่างสูงสุดจริง ๆ เมื่อ เจน ฟอนด้า อดีตดาราสาวจากฮอลลีวู๊ดของสหรัฐ ฯ ซึ่งเคยเป็นนักยิมนาสติกมาก่อน ได้เปิดสอนและจำหน่ายเสื้อผ้าชุดฝึก วีดีโอเทป แถบเพลงและหนังสือฝึกแอโรบิกดานซ์ ทำให้ประชาชนทั่วโลกรู้จักและฝึกกันอย่างจริงจัง ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ.1979 เป็นต้นมา
แอโรบิกดานซ์ในประเทศไทย
ประมาณปี พ.ศ. 2518 ประชาชนชาวไทยได้มีการตื่นตัวในการออกกำลังกายมากขึ้นทั้งนี้เพราะชาวไทยมีความเข้าใจในเรื่องของการศึกษามากขึ้น และเข้าใจถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายว่าสามารถลดโรคภัยไข้เจ็บได้ ในระหว่างปี พ. ศ. 2518 ได้มีกลุ่มนักธุรกิจเปิดสถานบริหารร่างกายขึ้น ซึ่งบริหารโดยคนไทย ซึ่งสืบสานและนำตัวอย่างมาจากสถานบริหารร่างกายโดยชาวอเมริกากันซึ่งเป็นนักธุรกิจมาทำงานในกรุงเทพ ฯ ในระยะแรกวิธีการสอนการออกกำลังกายสำหรับประชาชนที่เข้าไปร่วมกิจกรรมนั้น เป็นวิธีการบริหารร่างหายดังกล่าว ได้มีวิทยากรชื่ออาจารย์สุกัญยา มุสิกวัน ได้เข้าไปเป็นวิทยากรและเล็งเห็นว่า กิจกรรมที่จัดให้กับสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมบริหารร่างกายนั้นไม่เพียงพอกับการเสริมสร้างสมรรถภาพเท่าใดนัก ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2519 อาจารย์สุกัญยา มุสิกวัน จึงได้จัดกิจกรรมชื่อว่า Slimnastic ซึ่งมาจากคำว่า Slim + Gymnastic ซึ่งเป็นกิจกรรมบริหารร่างกายประกอบเพลง เป็นเครื่องมือในการออกกำลังกายสำหรับสมาชิก อันทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินมากขึ้น กิจกรรมดังกล่าว ได้เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายเบื้องต้นประกอบจังหวะดนตรีเป็นกิจกรรมบริหารร่างกายเพื่อลดสัดส่วนของร่างกาย ในปี พ.ศ. 2522 อาจารย์สุกัญยา มุสิกวัน (พานิชเจริญนาม) ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น และได้เดินทางกลับมาในปี พ.ศ. 2526 ได้เล็งเห็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวแบบ Slimnastic ควรเป็นไปในรูปแบบแอโรบิกดานซ์เหมือนสากล จึงได้เริ่มสอนและได้จัดอบรมให้ผู้ที่สนใจและลูกศิษย์ ให้นำไปเผยแพร่ทั่วประเทศ โดยจัดในรูปสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ณ สนามกีฬาแห่งชาติ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 130 คน จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และนับจากปี 2526 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แอโรบิกดานซ์จึงเป็นกิจกรรมที่แพร่หลาย และมีการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา และด้านเอกชน ก็เปิดบริการให้ประชาชนทั่วไปฝึกร่างกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทนและได้มาซึ่งรูปร่างที่ดี การออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ ได้มีการพัฒนาและมีวิวัฒนาการเป็นการออกกำลังกายได้หลายรูปแบบ เช่น แอโรบิกดานซ์แบบแจซเซอร์ไซด์ แอโรบิกในน้ำ เสต็ปแอโรบิก เพื่อให้มีความหลากหลายมากขึ้น มีความสนุกสนานจากการออกกำลังกายและคงการออกกำลังกายให้นานที่สุด ที่สำคัญก็เพื่อประโยชน์จากการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ และเป็นการออกกำลังกายที่สนุกสนานและได้ประโยชน์มากที่สุดนั่นเอง
ความหมายและประเภทของแอบิกดานซ์
แอโรบิกดานซ์ (Aerobics Dance) หมายถึง วิธีการออกกำลังกายชนิดหนึ่งที่นำเอาท่าบริหารกายต่างๆผสมผสานกับทักษะการเคลื่อนไหวเบื้องต้น และจังหวะเต้นรำที่จะกระตุ้นให้หัวใจและปอดต้องทำงานมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่นานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการสร้างบรรยากาศในการออกกำลังกายที่สนุกสนานรื่นเริงลืมความเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายได้ ทั้งยังสร้างความแข็งแรง ความทนทานของระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือด หัวใจและปอดได้ดีขึ้น ทำให้รูปร่างสมส่วนมีบุคลิกภาพที่ดี
ประเภทของการเต้นแอโรบิก
การเต้นแอโรบิกในปัจจุบันมีหลายแบบด้วยกัน ถ้านำลักษณะการเคลื่อนไหวเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทจะสามารถแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้
1. การเต้นที่มีแรงกระแทกต่ำ (Low – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกต่ำ เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของการกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้นที่มีบ้างเล็กน้อยหรือเกือบจะไม่มีเลย เช่น สปริงข้อเท่า การย่อเข่าการเดิน เป็นต้น
2. การเต้นที่มีแรงกระแทกสูง (High – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกสูง เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของการกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้นที่ค่อนข้างจะรุนแรง เช่น การกระโดดลอยตัวและลงสู่พื้นด้วยเท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือด้วยเท้าทั้งสองข้าง
3. การเต้นที่มีแรงกระแทกหลากหลาย (Multi – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกหลากหลายเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของแรงกระแทกต่ำและแรงกระแทกสูงผสมกัน ซึ่งผู้เต้นจะใช้แรงกระแทกต่ำหรือแรงกระแทกสูงมากน้อยเพียงใด ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของผู้เต้นและจังหวะเพลง
4. การเต้นที่ปราศจากแรงกระแทก (No – impact aerobics dance) การเต้นแอโรบิกที่ปราศจากแรงกระแทก เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไม่มีแรงกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้น เช่น การเต้นแอโรบิกในน้ำ เป็นต้น
จุดมุ่งหมายสำคัญของการออกกำลังกายด้วยแอโรบิก
จุดมุ่งหมายสำคัญของการออกกำลังกายด้วยแอโรบิกเพื่อทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนให้มากที่สุด เท่าที่ร่างกายจะใช้ได้ ในเวลาที่กำหนด (ซึ่งจะไม่เท่ากันในแต่ละคน) ซึ่งในการออกกำลังกายด้วยแอโรบิกนี้ ส่วน ของร่างกายที่จะต้องปรับตัวให้ทันกันก็คือ
1. ระบบหายใจจะต้องเร็วและแรงมากขึ้น เพื่อจะได้นำเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น พอที่ จะไปฟอกเลือดที่จะต้องหมุนเวียนมากขึ้น
2. หัวใจจะต้องเต้นเร็วและแรงขึ้น เพื่อจะได้สูบฉีดเลือดได้มากขึ้น เพราะขณะที่ออกกำลังกาย อย่างหนักนั้น กล้ามเนื้อจะต้องการเลือดมากขึ้นประมาณ 10 เท่า
3. หลอดเลือดทั้งใหญ่และเล็กจะต้องขยายตัวเพื่อให้สามารถนำเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการออกกำลังกายมากมายหลายอย่างที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจน แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย ด้วยแอโรบิก เพราะทำไปแล้วไม่เกิดผลจาการฝึก เช่น การวิ่งระยะสั้น ที่แม้ผู้วิ่งจะเหนื่อยมากระหว่างที่วิ่ง แต่ก็ด้วย เวลาที่สั้นมาก หรือการยกน้ำหนักนับร้อยกิโลกรัม ซึ่งก็เป็นงานที่หนัก การใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวหรือนักกล้ามที่ ออกกำลังกายจนมีกล้ามมัดโตๆ แต่ปอดและหัวใจอาจจะไม่มีความแข็งแรงทนทานเลยก็ได้
สรุปว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้น จะต้องทำให้หนักพอ จนหัวใจเต้นเร็วขึ้นจนถึงอัตราที่เป้าหมาย จะต้องทำติดต่อกันให้นานพอประมาณถึง 15 ถึง 45 นาที (ถ้าทำหนักมากก็ใช้เวลาน้อย แต่ถ้าทำหนักน้อยก็ใช้เวลามาก) ต้องทำบ่อยพอ คืออย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถึง 5 ครั้ง อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายที่ไม่หนักจนถึงขั้นแอโรบิกนั้น แม้จะไม่เกิดผลจากการฝึกอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวม และดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเลยอย่างแน่นอน
องค์ประกอบสำคัญในการเข้าร่วมการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ (FFIT)
FUN (F = สนุกสนาน ท้าทายความสามารถ) ต้องเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและท้าทายความสามารถ ไม่น่าเบื่อ กิจกรรมที่จัดควรหลากหลาย จัดให้เหมาะสมกับความต้องการ เพศ วัย และระดับความสามารถ
Frequency ( F = ความบ่อย) ควรเต้นอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ และอย่างมาก 6 วันต่อสัปดาห์ โดยให้มีวันพัก 1 วันต่อสัปดาห์ เพราะจะมีผลช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภายในร่างกาย เช่น ความดันเลือด ระดับคอเลสเตอรอล การไหลเวียนโลหิต และการคงสภาพความสามารถทางด้านร่างกาย
Intensity (I= ความหนัก) การออกกำลังกายจะหนักหรือไม่หนักเพียงใด อัตราการเต้นของหัวใจ (ชีพจร)จะเป็นตัวบ่งชี้ ให้แต่ละบุคคลสามารถตัดสินใจในการออกกำลังกายของตนโดยใช้สูตรของคาร์โวเนน (Karvonen Formula) ในการคำนวณหาอัตราชีพจรเป้าหมายหรือความหนักเป้าหมาย (Target Heart Rate : THR) ตามระดับความสามารถหรือความฟิตและอายุของบุคคลนั้น เพื่อกำหนดความหนักในการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด โดยสูตรนี้กำหนดความหนักแนะนำอยู่ระหว่าง 65-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด
Time (T= ระยะเวลา) ควรจะออกกำลังกายนานเท่าใด เป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาระยะเวลาในการออกกำลังกายที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกำลังกาย ความฟิต อายุ จุดมุ่งหมายแแรงจูงใจในการออกกำลังกาย เวลาในการออกกำลังกายประมาณ 15-60 นาทีก็ได้ เช่น การออกกำลังกายที่มีความหนักหรือความเข้มสูง อาจจะกำหนดเวลาที่สั้นกว่าการออกกำลังกายที่เบาที่ต้องใช้ระยะเวลาที่นานกว่า และการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์สูงสุดและลดอัตราการเสี่ยงอันตรายจากการเต้น คือ การเต้นที่มีความหนักปานกลางในระยะเวลาที่นานกว่า คือ ประมาณ 45-60 นาที และควรเป็นการเต้นแบบแรงกระแทกต่ำ (Low Impact)
ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ให้ทั้งคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจำแนกออกเป็นข้อๆ ดังนี้
1. เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งการเต้นแอโรบิกจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของร่างกายโดยทั่วไป หรือสามารถเน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนได้ ซึ่งผู้ออกกำลังกายสามารถเลือกท่าบริหารเพื่อจะเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในส่วนที่ตนต้องการ
2. เพื่อเพิ่มความทนทานของร่างกาย โดยทั่วไปความทนทานของร่างกายจะแยกออกเป็น ความทนทานของกล้ามเนื้อและความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งเป็นความทนทานที่ช่วยให้ร่างกายสามารถทำลานได้เป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่เกิดความเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกายแบบเต้นแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ จะมีผลให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้ดี มีความจุปอดเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นไปด้วยดี ขณะออกกำลังกายจะเหนื่อยช้าและหายเหนื่อยเร็วขึ้น
3. เพื่อเพิ่มความอ่อนตัวของร่างกาย การบริหารร่างกายในท่าที่ช้า โดยเน้นเกี่ยวกับแรงต้านทานความตึงของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็นให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มมุมของข้อต่อในการเคลื่อนไหวแต่ละจังหวะอีกด้วย ผู้ที่มีความอ่อนตัวของร่างกายสูงสามารถป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
4. เพื่อช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกาย ทำงานประสานกันด้วยดี เช่น ระบบประสาท ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร แม้แต่ระบบขับถ่าย ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของระบบต่าง ๆ มีผลทำให้ร่างกายสามารถปรับตัวและเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย เป็นผลจากการออกกำลังกายแบบเต้นแอโรบิก
5. เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี การเต้นแอโรบิก คือองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อการช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี ซึ่งสามารถแก้ไขความบกพร่องของร่างกาย ที่ทำให้บุคลิกภาพเสียไป เช่น ท่าทางการยืน การเดิน ความอ้วนจนเกินไปนั้นทำให้แลดูไม่มีสง่าราศี การจัดโปรแกรมการเต้นแอโรบิกด้วยท่าทีเหมาะสม จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ได้
6. เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย การเต้นแอโรบิก เป็นการออกกำลังกายที่เคลื่อนไหว ไปตามจังหวะของเสียงเพลงนอกจากจะทำให้ผู้เต้นเกิดความแข็งแรงยังสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดขณะออกกำลังกาย ซึ่งส่งผลให้จิตใจไร้ความกังวล
7. ประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายช่วยชะลอความแก่ ช่วยลดน้ำหนักตัวส่วนเกินและเพิ่มน้ำหนักตัวส่วนที่ยังขาด ช่วยเสริมสร้างความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีระเบียบวินัย ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ช่วยให้สมองเริ่มทำงานได้อย่างฉับไว ทั้งนี้การเต้นแอโรบิกต้องปฏิบัติตามหลักและวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้องทั้งก่อนเต้น ขณะเต้น และหลังการเต้น เพื่อร่างกายจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการเต้นแอโรบิก
อุปกรณ์ประกอบการเต้นแอโรบิกดานซ์
1. รองเท้าและถุงเท้า เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นที่สุด เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บ ควรใช้รองเท้าที่ออกแบบไว้สำหรับการเต้นแอโรบิก ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกในแนวดิ่งแรงกดบิส่วนต่าง ๆ ของเท้าและข้อเท้า ซึ่งเกิดจาการเคลื่อนที่ในแนวราบทุกทิศทาง ผู้เต้นไม่ควรเสี่ยงกับรองเท้าเก่าหมดอายุแล้ว รองเท้าสำหรับการเต้นแอโรบิกควรมีลักษณะโดยสรุป ดังนี้
1.1 บริเวณส่วนบนของหุ้มส้น จะต้องสูงขึ้นและมีแผ่นนุ่มรองรับบริเวณตรงกับเอ็นร้อย หวาย เพื่อป้องกันไม่ให้ระคายเคืองต่อเอ็น
1.2 ด้านข้างของบริเวณหุ้มส้นทั้งสองด้านจะต้องแข็งแรง เพื่อป้องกันการบิดหมุนของส้นเท้า ทำให้บริเวณส้นเกิดความมั่นคง
1.3 บริเวณปลายเท้าจะต้องหนุนขึ้น (อย่างน้อยครึ่งนิ้ว) เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วและเล็บถูก เบียด ซึ่งจะทำให้เกิดเลือดคลั่งในเล็บได้ และช่วยยืดอายุการใช้งานของรองเท้าจากการเคลื่อนไหวที่ รวดเร็ว
1.4 ลิ้นรองเท้าจะต้องบุให้นิ่ม และปิดส่วนบนของฝ่าเท้าได้หมด เพื่อป้องกันเอ็นและ กล้ามเนื้อกระดูก ถูกเสียดสีและระคายเคืองจนอักเสบได้
1.5 บริเวณเส้นรองเท้าจะต้องฝานให้เป็นรูปมน เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวจังหวะต่อไป เป็นไปได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
1.6 ที่ส้นรองเท้าจะยกสูงขึ้นและมีความยืดหยุ่นดีพอ เพื่อจะรับแรงกระแทกของส้นเท้าได้
1.7 พื้นรองเท้าบริเวณกึ่งกลางจะต้องพับงอได้ เพื่อการเคลื่อนไหวที่คล่องตัวและป้องกัน การบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย
1.8 พื้นรองเท้าควรมีลายที่ช่วยลดแรงกระแทกและยึดเกาะพื้นไม่ให้เลื่อน
1.9 ที่รองพื้นรองเท้าด้านใน ควรมีฟองน้ำเสริมอุ้งเท้า เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บบริเวณ ส้นเท้า การอักเสบของพังผืดยึดกระดูกฝ่าเท้า ผู้เล่นไม่ควรเสี่ยงกับรองเท้าเก่าหรือหมดอายุแล้ว
2. ชุดออกกำลังกาย ควรลักกุม ง่ายต่อการเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเต็มที่ เนื้อผ้าระบาย ความร้อนและซับเหงื่อได้ดีไม่จำเป็นต้องราคาแพง ควรเป็นผ้ายืด การสวมชุดรัดรูป หรือเป็นชุดออกกำลัง กายที่เป็นชุดกางเกงติดกับเสื้อ ( Leotard ) จะช่วยให้ผู้สวมใส่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายขณะบริหาร เสื้อจะไม่เลื่อนหลุดขึ้นมาเหนือเอว อีกทั้งช่วยให้ผู้สวมใส่มองเห็นท่าทางการ เคลื่อนไหวของร่างกายของตนเองได้ชัดเจนหรือทำให้เห็นรูปทรงส่วนเกิน ส่วนขาดที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ให้เข้าที่เข้าทาง
3. เสื้อชั้นใน ให้รัดพอดี รอบ ๆ ส่วนที่เป็น cup ถ้าเป็นชนิดไม่มีตะเข็บ (seamless) ที่ ผลิตออกมาโดยปั้มจากพิมพ์ ไม่ควรใส่ เพราะยกทรงแบบเต็มตัว เมื่อออกกำลังกายแล้ว จะทำให้กล้ามเนื้อ บริเวณหลังและใต้อกเคลื่อนไหวได้ยาก
4. กางเกงชั้นใน ไม่ควรใส่แบบที่รัดมากที่เรียกว่า สเตย์ เพราะเวลาออกกำลังกายกล้ามเนื้อ ส่วนนั้นจะเคลื่อนไหวได้ยาก ทำให้โลหิตบริเวณนั้นไหลเวียนไม่สะดวก เกิดผลเสียแก่อวัยวะสืบพันธุ์ในอุ้ง เชิงก้านด้วย ควรเลือกใช้กางเกงชั้นในที่มีความกระชับพอดี ถ้าเป็นผ้าที่ผสมฝ้ายมากยิ่งดี
5. เพลงประกอบการเต้นหรือดนตรี เพลงที่ใช้ควรเป็นเพลงที่ชื่นชอบของผู้ออกกำลังกาย มี จังหวะชัดเจน มีความเร็วพอดีกับการเปลี่ยนไปตามขั้นตอนของการออกกำลังกายช่วงต่าง ๆ เพลงที่ใช้ ประกอบมักมีหลายเพลง ซึ่งควรต่อเนื่องกันตลอดระยะเวลาการเต้น (Non-Stop) หรือ (Medley)
6. สถานที่ อาจเป็นกลางแจ้งหรือในร่ม ควรมีการระบายอากาศที่ดี มีเนื้อที่ว่างพอสมควร ไม่มีสิ่งเกะกะเกียดขวาง พื้นที่เรียบแต่ไม่ลื่น และควรมีคุณสมบัติผ่อนแรงกระแทก เช่นพื้นไม้เนื้อแข็งที่ โปร่งด้านล่าง พื้นกระเบื้องยาง ไม่ควรเต้นพื้นคอนกรีตหรือพื้นคอนกรีตปูทับด้วยพรม
7. เครื่องมืออื่น ๆ ได้แก่ Step Band, Hand weight, Elastic tubing, Elastic band ฯลฯ

การจัดระดับหรือชั้นของผู้ที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์
ผู้ที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์ ควรเข้าร่วมออกกำลังกายในชั้นที่เหมาะสมกับความสามารถ สมรรถภาพหรือจุดประสงค์ของการออกกำลังกาย การเต้นควรเริ่มจากง่ายไปหายาก จากเบาไปหนัก เพื่อให้ได้ผลเต็มที่และมีความปลอดภัย โดยแบ่งระดับความสามารถในการเต้นแอโรบิก เป็น 3 ระดับ คือ
1. ระดับเริ่มต้น เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเต้น ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน หรือผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง เป็นการฝึกเทคนิคการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน การวางท่า การบังคับการเคลื่อนไหว ร่างกายเฉพาะส่วน ท่าที่ใช้ในการเต้นจะง่ายและปลอดภัย ผู้เต้นควรหาโอกสาเรียนรู้ประโยชน์จากท่ากายบริหารต่าง ๆ และอันตรายจากท่าที่ไม่ถูกต้อง ควรฝึกประสาทสัมผัส เรียนรู้วิธีการใช้กำลังให้เต็มที่ เพื่อความหนักของงาน จังหวะในการเต้นช้า จังหวะเพลงชัดเจน ฝึกนับจังหวะการเคลื่อนไหวให้เข้าจังหวะและจัดลำดับท่า โดยทั่วไปใช้เวลาในการเต้น 30 ยาที เมื่อผู้เต้นสามารถปรับตัวได้จึงค่อย ๆ เพิ่มความยาก ความหนักและความนานของการเต้นต่อไป
2. ระดับกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการเต้นระดับเริ่มต้นมาแล้ว โดยมีประสบการณ์ในการเต้นอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 6 เดือน หรือผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง พอที่จะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ถูกต้องและคล่องแคล่ว คุ้นเคยกับท่าพื้นฐานต่าง ๆ สามารทำได้เร็วขึ้น หนักและนานขึ้นเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพหรือผู้ที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำ
3. ระดับสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ชำนาญในการเต้นและมีประสบการณ์มานาน ผู้เต้นควรมีความสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่ มีความคล่องแคล่วว่องไว มีความอ่อนตัว การทรงตัวและประสาทสัมผัสดี สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้ดี การเต้นระดับนี้มีความยากซับซ้อนและใช้กำลังเต็มที่จึงเหมาะสำหรับผู้นำการออกกำลังกายแบบแอโรบิกดานซ์
หลักการฝึกแอโรบิกด๊านซ์
1. เลือกท่าฝึกให้เหมาะกับสภาพของเพศและวัย กล่าวคือ ควรเป็นท่าที่สามารถทำได้ง่าย และไม่ขัดต่อสภาพร่างกายและความรู้สึก

2. ฝึกจากท่าง่ายไปหาท่ายาก จากเบาไปหาหนัก


3. ควรฝึกในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก


4. เน้นบริหารร่างกายส่วนไหน ก็ให้เลือกท่าที่ต้องใช้กล้ามเนื้อนั้นมาก ๆ เช่นต้องการลดไขมันที่หน้าท้อง ก็เลือกฝึกท่าที่ใช้กล้ามเนื้อท้องมาก ๆ


5. เวลา สถานที่ฝึก ไม่จำกัด ว่างเมื่อใด สถานที่ไหนก็ได้


6. เลือกท่าบริหารกายและฝึกให้ครบทุก ๆ ส่วนของร่างกาย


7.ชุดฝึกควรเป็นผ้ายืดและผ้าที่ใส่สบายไม่คับเกินไปหรือหลวมเกินไปสามารถระบายความร้อนได้ดี

...............ตัวอย่างการออกกำลังกายแอโรบิค.....................



.............แอโรบิคสำหรับเด็ก..............................


แกงเขียวหวานไก่



แกงเขียวหวานไก่

ส่วนผสม

.......... เนื้ออกไก่หั่นชิ้นพอคำ ......................... 500 กรัม
.......... มะพร้าวขูด ........................................ 500 กรัม
.......... น้ำพริกแกงเขียวหวาน .......................... 100 กรัม
.......... มะเขือพวง ......................................... 300 กรัม
.......... ใบโหระพา ......................................... 50 กรัม
.......... พริกชี้ฟ้าเขียว แดง เหลือง หั่นแฉลบ ..... 60 กรัม
.......... ใบมะกรูดฉีก ...................................... 3 กรัม
.......... น้ำตาลปี๊บ .......................................... 2 กรัม
.......... น้ำปลา .............................................. 30 กรัม
.......... น้ำมันพืช ........................................... 15 กรัม


สูตรน้ำพริกแกงเขียวหวานแบบชาววัง

.......... พริกชี้ฟ้าเขียวผ่าครึ่งแกะเมล็ด .......... 20 กรัม
.......... พริกชี้หนูสีเขียว ............................. 20 กรัม
.......... หอมแดงซอย ............................... 20 กรัม
.......... กระเทียม ..................................... 20 กรัม
.......... ข่าหั่นละเอียด ............................... 5 กรัม
.......... ตะไคร้ซอย .................................. 10 กรัม
.......... ผิวมะกรูดหั่นละเอียด ...................... 2 กรัม
.......... ผักชีซอย ..................................... 10 กรัม
.......... พริกไทยเม็ด ................................. 3 กรัม
.......... ลูกผักชีคั่ว .................................... 5 กรัม
.......... ยี่หร่าคั่ว ....................................... 5 กรัม
.......... กะปิ เกลือป่น อย่างละ ................... 5 กรัม

-- โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด


วิัีํีธีทำ

1. คั้นมะพร้าวให้ได้หัวกะทิข้นๆ 110 กรัม หัวกะทิ 440 กรัม และหางกะทิ 660 กรัม

2. เคี่ยวเนื้อไก่กับหางกะทิจนนุ่ม ผัดน้ำพริกแกงกับน้ำมันพอหอม ใส่หัวกะทิ 440 กรัม ค่อยๆ ผัดจนแตกมัน ตักแต่เนื้อไก่ที่เคี่ยวไว้ลงผัดให้เข้ากัน

3. ใส่หางกะทิที่เคี่ยวไก่ พอเดือดทั่ว ใส่มะเขือพวง ใบมะกรูด ปรุงรสด้วยน้ำปลาน้ำตาล

4. ใส่พริกชี้ฟ้า ใบโหระพา ใส่หัวกะทิที่เหลือ ยกลง

5. ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟร้อนๆ


ลักษณะที่ดี :

..... น้ำแกงสีเขียว ไม่แยกตัว ออกรสเค็ม หวานกะทิ และเผ็ดหอมเครื่องเทศ


เคล็ดลับความอร่อย :

..... เคี่ยวไก่กับหางกะทิจะทำให้น้ำพริกแกงซึมเข้าเนื้อไก่ได้ดี

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ประวัติพระองค์เจ้ารพี


พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้า
รพีพัฒน์ศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรส องค์ที่14 ในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2417
เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงเข้าศึกษาวิชาภาษาไทยเป็นครั้งแรกในสำนักพระศรีสุนทรโวหาร
( น้อย อาจารยางกูร ) และต่อมาทรงเข้าศึกษาภาษาอังกฤษขั้นต้น ในสำนักครูสามิ และในปี
พ.ศ.2426 ทรงเข้าศึกษาในภาษาไทย อยู่ในสำนักพระยาโอวาทกิจ ( แก่น )และต่อมาในปี
พ.ศ.2427 ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนตำหนักสวนกุหลาบ โดยมีพระยายมราช ( ปั้น สุขุม )
เป็นอาจารย์ผู้สอน

เมื่อทรงเจริญพระชันษาโสกันต์ ทรงเข้าพระราชพิธีโสกันต ์และผนวชเป็นสามเณร
ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และทรงเสด็จไปประทับที่ วัดบวรนิเวศอยู่ 22 วัน เมื่อทรงลาผนวช
แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ทรงไปศึกษาต่อ ที่
ประเทศอังกฤษโดยทรงเข้าศึกษา ในโรงเรียนมัธยม ในกรุงลอนดอน 3 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษา
ในระดับมัธยมแล้ว ทรงสอบผ่านเข้าเรียนวิชากฎหมาย ในวิทยาลัยไครสต์เชิช มหาวิทยาลัย
ออกซ์ฟอร์ด (Christ church College, Oxfore) แต่ทางมหาวิทยาลัยไม่ยอมรับเข้าศึกษา
เพราะพระชนมายุยังไม่ถึง 18 พรรษา พระองค์ทรงต้องเสด็จไปขอความกรุณาเป็นพิเศษว่า
คนไทยเกิดง่ายตายเร็ว ทางมหาวิทยาลัยจึงยอมผ่อนผันให้ทรงสอบไล่อีกครั้งหนึ่ง ก็ทรงสอบได้
จึงทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในหลักสูตรปริญญาตรี ขั้นชั้นเกียรตินิยมทางกฎหมาย
ในเวลาเพียง 3 ปี ด้วยพระชันษา 20 พรรษา พระองค์ทรงเสด็จกลับมาใน ปี พ.ศ.2437 พระองค์
ทรงฝึกหัดราชการในกรมราชเลขานุการทรงศึกษากฎหมายไทย โดยมี ขุนหลวงพระยาไกรสี
( เปล่ง เวภาระ ) เนติบัณฑิตอังกฤษคนแรกของไทย เป็นพระอาจารย์สอนกฎหมายไทยและมี
เจ้าพระยามหิธร ( ลออ ไกรฤกษ์ ) เป็นผู้ถวาย ความสะดวกในการค้นคว้ากฎหมายไทย ด้วย
พระปรีชาสามารถเฉียบแหลม ถ้าทรงมีพระอุตสาหขยันขันแข็ง จึงทรงศึกษาอยู่ไม่กี่เดือนก็สำเร็จ

ในปี พ.ศ.2439 ทรงได้รับพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นนายกในกองข้าหลวงพิเศษ
ชั้นประจำการทำหน้าที่จัดการแก้ไขของธรรมเนียม ศาลยุติธรรม ( ศาลจังหวัด ) ขึ้นในท้องถิ่น
ต่างๆเพื่อความยุติธรรม ในปีเดียวกันนั้นพระองค์ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทรงรับ
ตำแหน่งหน้าที่ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ขณะทรงม ีพระชนมายุเพียง 22 พรรษา ในปี พ.ศ.
2440 พระองค์ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นประธานกรรมการ ตรวจชำระกฎหมาย
ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ มีหน้าที่ตรวจ พระราชกำหนด บทพระอัยการเก่าใหม่ และที่ปรึกษา
ลักษณะการที่จะชำระ และจัดระเบียบกฎหมาย

นอกจากนี้ด้วยเหตุที่พระองค ์มีพระดำริว่า" การที่จะยังราชการ ศาลยุติธรรมให้เป็นไป
ด้วยดีนั้น มีความจำเป็นที่ต้องจัดให้มีการสอนกฎหมายขึ้นเป็นที่แพร่หลาย" ทรงตั้งโรงเรียน
กฎหมายในป ีพ.ศ.2440 โดยจัดเป็นกึ่งราชการคล้ายหอสมุด พระนครโดยที่พระองค์ทรงสอน
วิชากฎหมาย ด้วยพระองค์เองและในปีเดียวกันนั้นเองได้มีการสอบไล่กฎหมายครั้งแรกได้เนติบัณฑิต
รุ่นแรก 9 คน ออกมารับราชการแบ่งเบาพระภาระไปได้บ้าง

ทางด้านการศึกษาวิชากฎหมายพระองค์ ได้ทรงแต่งตำราอธิบายลักษณะกฎหมายลักษณะ
ต่างๆ และทรงรวบรวม กฎหมายตราสามดวง อันเป็นกฎหมายเก่าที่ใช้อยู่เวลานั้น พระราชบัญญัติ
บางฉบับ คำพิพากษาบางเรื่อง ทรงจัดพิมพ์ขึ้นเป็นสมุดเล่มใหญ่ แบ่งเป็นหมวดหมู่ มีคำอธิบายและ
สารบาญ อย่างละเอียด กฎหมายตราสามดวงที่ทรงรวบรวมให้ใช้ชื่อว่า "กฎหมายราชบุรี" ส่วน
พระราชบัญญัติให้ชื่อว่า "พระราชบัญญัติราชบุรี"

ในปีพ.ศ.2441 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจตัดสินความ
ฎีกา ทำหน้าที่ตรวจตัดสินความฎีกา ซึ่งมีผู้ทูนเกล้าฯ ถวาย และนำข้อความขึ้นกราบบังคมทูล
พระกรุณา กรรมการคณะนี้ทำหน้าที่ศาลสูงสุดของประเทศแต่ไม่สังกัดกระทรวงยุติธรรม และ
ภายหลังจึงได้กลายมาเป็น ศาลฎีกาดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ในปีต่อมาพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์
ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ทรงได้รับพระราชทาน พระ
สุพรรณบัฎเป็นกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ นาคนามตามโบราณประเพณีของไทย สำรับพระองค์
เจ้าพระองค์ใดที่บำเพ็ญคุณความดีอันเป็นประโยชน์แก่ ประเทศชาติเป็นอเนกประการจะได้รับ
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ในปี พ.ศ.2443 พระเจ้าลูกยาเธอ
กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงจัดตั้งกองพิมพ์ลายนิ้วมือขึ้นที่กองลหุโทษ ทรงสอนวิธีตรวจเส้น
ลายมือและ วิธีเก็บพิมพ์ลายมือแต่เดิมนั้น ศาลและพนักงานอัยการไม่มีทางทราบได้ว่าบุคคลใด
เคยต้องโทษมาแล้ว หรือไม่กี่ครั้งเพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยัน ตัวผู้กระทำผิด ได้อย่างถูกต้อง
(กองพิมพ์ลายนิ้วมือกรมตำรวจรับผิดชอบอยู่ในปัจจุบัน)

ในปี พ.ศ.2453 กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงทำหนังสือกราบบังคมทูลออกจาก
ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม หลังจากทรงดำรงตำแหน่ง มาเป็นเวลา 14 ปี เนื่องจาก
ประชวรป่วยพระโรค ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเกล้าถวัลย
ราชสมบัติสืบแทน ทรงพระกรุณาฯโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงกลับเข้ารับ
ราชการ ในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการในปี พ.ศ.245x และต่อมาทรงได้รับสถาปนา
เป็นกรมหลวง มีพระนามตามจารึกพระสุพรรณบัฏ ว่าพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
คชนาม จนกระทั่งใน ปี พ.ศ.2462 เสด็จในกรมฯทรางพระประชวรด้วยพระวัณโรคที่พระวักกะ
จึงทรงกราบบังคมทูลลาพักราชการ เพื่อรักษาพระองค์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่
พระอาการหาทุเลาลงไม่จ นกระทั่งในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2463 เวลา21นาฬิกา ก็เสด็จสิ้น
พระชนม์ในขณะที่ พระชนมยุได้ 47 พรรษา

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ และมุ่งพระทัยที่จะทำงานให้
ประเทศชาติทรงทำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทรง เสียสละทุกอย่าง โดยไม่ทรงคิดถึง
พระองค์เองเลยทรงคิดถึงแต่งานเป็นใหญ่พระองค์ ทรงมีพระทัยเมตตาต่อคนทั่วๆไป ไม่ทรง
เลือกที่รักมักที่ชัง ทรงมีความ ยุติธรรมประจำพระทัยพระองค์ทรงยึดถือคติพจน์ของชาวอังกฤษ
ชื่อ Kingsley เป็นหลักประจำพระองค์คือ "คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรจะขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณไม่ควรมากเกินไปจนท้องกาง ควรช่วยเหลือคนอื่นไม่ใช่เหยียบย่ำควรรับใช้
"ไม่ควรคิดเป็นนายคน" พระองค์ทรงพอพระทัยในการทำงาน มิได้ย่อท้อทรงยึดหลักที่ว่า
"My life is service" คือชีวิตของข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อรับใช้ประเทศชาติ

ฉะนั้น ในวันที่ 7 สิงหาคม ของทุกปี หรือ "วันรพี" ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ
พระองค์ จึงเป็นวันที่นักกฎหมายทั้งหลายจะน้อมรำลึกถึง ถึงพระองค์ท่านในฐานะที่ทรงเป็น
"พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" ที่ได้ทรงสร้างคุณประโยชน์อันเป็นคุณูปการ ที่หาเปรียบมิได้
ต่อวงการการศึกษาไทย กฎหมายการศาล และ กระบวนการยุติธรรม

วิเคราะห์สถานะการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน

กรอบในการวิเคราะห์ จะใช้ทฤษฎีระบบ ของ ฮันติงตั้น มาใช้

อินพุท ปัจจัยนำเข้า

ในปัจจุบัน ทุกองค์กร ใช้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เป็นฐานในระบบ"นิติรัฐ"

ดังนั้น เมื่อผ่านพ้นการเลือกตั้งมาแล้ว พรรคการเมืองที่ได้เข้าสู่อำนาจรัฐ จึงมี 6 พรรคการเมือง โดยมี พปช.เป็นแกนนำเพราะได้เสียงสูงสุดจึงได้ร่วมกับอีก 5 พรรคการเมืองจัดตั้งเป็นรัฐบาล โดยมี ปชป.เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ดังนั้นในระบบนิติรัฐ รัฐบาลจึงมีความชอบธรรมที่สมบูรณ์ในการบริหารและปกครองบ้านเมืองในเวลานี้

โปรเซสซิ่ง กระบวนการบริหารและปกครอง

ในขณะที่ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ในอำนาจทั้งสาม ของระบบประชาธิปไตยได้ดำเนินการปฏิบัติไป ก็เกิดมี"ขบวนการจัดตั้ง" คือกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเคยจัดตั้งในสมัยรัฐบาล ทรท.มาก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง

มาในครั้งนี้ ก็ได้ดำเนินการคัดค้าน ต่อต้านแบบต่อเนื่อง โดยภาพรวมบ่งบอกถึงการ"แก้แค้น ต่อคุณทักษิณฯเป็นเป้าใหญ่"

โดยอ้างเหตุผลว่า รัฐบาล พปช.เป็นนอมินีหรือตัวแทนของคุณทักษิณฯ

"ข้อกล่าวหา"ที่มีต่อคุณทักษิณฯต่างๆนั้น ทั้ง คมช.และพันธมิตร หรือ ปชป.เมื่อเข้าสู่กระบวนการตุลาการแล้ว ในขณะนี้ปรากฏว่ายังไม่มีการตัดสินความผิดปรากฏชัดซักคดีเดียว โดยข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ศาลท่านก็สั่งยกฟ้องไปแล้ว

ซึ่งผิดกับแกนนำของกลุ่มพันธมิตร คือคุณสนธิฯได้โดนข้อหาหมิ่นประมาท ในการฟ้องกลับของผู้เกี่ยวข้อง ทำให้โดนศาลพิพากษาจำคุกไปแล้ว สองสามคดี

ข้อมูลตัวนี้ในระบบนิติรัฐแล้วคุณทักษิณฯเป็นต่อในเกมส์การเมืองในปัจจุบัน

ดังนั้น"แนวร่วม"ของพันธมิตร อันได้แก่ คมช.และ ปชป.จึงต้องเคลื่อนไหว เพราะเกรงในระบบดับเบิ้ลสแตนดารด์ของตุลาการภิวัตน์ ที่จะทำให้คุณทักษิณฯหลุดพ้นคดีความในข้อกล่าวหาได้

เกมส์การเมืองช่วงนี้ จึงเป็นเกมส์แพ้ ชนะ เพื่อล้มอำนาจรัฐ โดยระบบนิติรัฐ หรือ ระบบรัฐประหาร

เพราะถ้า รัฐบาลอยู่รอด ฝ่ายพันธมิตรและแนวร่วม มีแนวโน้มที่จะเดือดร้อน อย่างน้อยแกนนำเช่นคุณสนธิฯมีสิทธิ์ติดคุกในคดีเก่าหรือใหม่ ส่วนทางด้านแนวร่วม เช่น คมช.ก็อาจถูกรื้อฟื้นคดีที่เกิดขึ้นในครั้งยึดอำนาจรัฐ โดยเฉพาะข่าวลือที่มีการเรียกเงินจากผู้ประกอบการต่างๆ และในส่วนของ ปชป.แน่นอนในผลกระทบคือการเป็นฝ่ายค้านที่ยาวนาน ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ทับซ้อนลงไป

รัฐบาล ในฐานะที่ต้องรักษาอำนาจรัฐไว้ให้อยู่กับฝ่ายตนโดยต่อเนื่องและยาวนาน ในอันที่จะสามารถเอื้อประโยชน์ต่อการบริหารการปกครองในผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ จึงต้องดำเนินการอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะถ้าฝ่ายของตนเองเพรี่ยงพล้ำลงไป หมดสิ้นอำนาจรัฐแล้ว ก็จะถูกรัฐบาลใหม่ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม เล่นงานในระบบนิติรัฐเช่นเดียวกัน

ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลอาจใช้กลไกในการยุบสภา เข้ามาแก้ไขเหตุการณ์ ก่อนที่จะเลยไปถึงการให้ทหารเข้ามาทำการแก้ไขโดยการยึดอำนาจรัฐเหมือนครั้งก่อน ซึ่งบทเรียนในครั้งนั้น เชื่อว่ารัฐบาลต้องจำได้ดีและมีวิธีการในการแก้ไขเตรียมพร้อมไว้แล้ว

ในกรณีแบบนี้ พรรคการเมืองคือ ปชป.ที่เป็นฝ่ายค้าน จะเสียเปรียบที่สุด เพราะถ้าเกิดการยุบสภาฯแล้ว พรรคการเมืองของตนเองก็ยากที่จะฟันฝ่าเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ หรือเกิดการรัฐประหาร พรรคการเมืองตนเองก็ยากที่จะได้อำนาจรัฐโดยเบ็ดเสร็จตามไปได้ เพราะกลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนของทางทหาร ก็ต้องเข้ามาดำเนินการเอง

ด้านรัฐบาล น่าจะต้องใช้เครื่องมือ กลไกรัฐทุกรูปแบบ เพื่อรักษาอำนาจรัฐเอาไว้ และรอให้คุณทักษิณฯพ้นคดี ในนามบ้านเลขที่111 ได้สิทธิ์กลับคืนลงสนามการเมืองต่อไป

ซึ่งแนวทางเดินของรัฐบาลนี้ พันธมิตรและแนวร่วม มองเห็นชัดเจน จึงต้องร่วมมือกันสะกัดกั้นจนสุดกำลัง ดังนั้นการสาดโคลนในข้อกล่าวหาต่างๆ จึงพุ่งไปที่ ทรท.เก่า และพปช.เป็นหลัก คือ แยกกันตี ทั้งเรื่องสถาบัน เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่องการแทรกแซงองค์กรอิสสระและสื่อ และรวมถึงเรื่องคอมมิวนิสต์ ฯลฯ

ในกระบวนการต่อสู้แย่งชิงอำนาจรัฐนี้ ทุกฝ่าย คือ ทั้งรัฐบาลและพันธมิต รวมทั้งแนวร่วม ต่างใช้ทฤษฎีการบริหารงานตามสถานะการณ์ หรือ คอนติงเจนซี่แปลน ถูกนำมาใช้ในลักษณะ "วันต่อวัน" ดังนั้น"ทีมงาน"ในด้านนี้ จึงต้องพร้อมและสลับซับซ้อนยิ่งนักในเวลานี้

สงครามการเมืองไทยนี้ คล้ายสงครามโลกครั้งที่สอง ในศึกมิดเวย์ ที่กองทัพเรืออเมริกัน กับ กองทัพเรือญี่ปุ่นรบประจัญบานกันด้วยเครื่องบิน ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แต่ ผลแพ้ชนะ ตัดสินกันที่"เวลา" ในการขึ้นลงเติมน้ำมัน"เท่านั้น ในขณะที่"เวลา"ญี่ปุ่นผิด เครื่องบินดันลงเติมน้ำมันอยู่ แต่เวลาของอเมริกาถูก เติมน้ำมันเสร็จแล้วกำลังขึ้นบินอยู่ ญี่ปุ่นจึงแพ้ และอเมริกา ชนะ เพราะเวลา นี้เองในการรบทฤษฎีตามสถานะการณ์

เอาท์พุท ผลลัพธ์ ผลประโยชน์ และผลประโยชน์สูงสุด

รัฐบาล มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ถ้าฉลาดเลือก ในการใช้เวลาที่เหมาะสม ลงมือโดยกลไกของรัฐแล้ว ซึ่งหมายถึงสามารถถอดสลักระเบิดในแต่ละลูกที่พันมิตรและแนวร่วม โยนใส่ได้ แล้วใช้เวลาที่ดีในการฉวยโอกาศเข้าโจมตี

เช่นเวลานี้ ควรโจมตีหัวขบวนพันธมิตรก่อน โดยการหาหลักฐานการปราศรัย แล้วยื่นศาลให้พิจารณาในคดีหมิ่นประมาทเก่า ศาลก็อาจถอนประกันและจับเข้าคุกไป เป็นต้น

ถ้ารัฐบาลใช้เวลาเหล่านี้ให้ดี เชื่อแน่ว่าจะสามารถ รบชนะในศึกครั้งนี้ได้ เพราะศึกครั้งที่แล้ว จีดีพี จาก 7.1 เหลือ 4.5 เงินของประเทศหายไปหลายล้านๆบาทไทย

มาครั้งนี้ ศึกรอบสองเพียงแค่เริ่ม จีดีพีที่ สศช.คาดไว้ว่าจะโต จาก 4.5 ไปถึง 5 หรือ 6 นั้น กลับถอยหลังและอยู่กับที่คือ 4.5 เหตุก็เพราะพันธมิตรและแนวร่วมนี้เองเป็นผู้ก่อขึ้น

เขากล่าวหาว่าเป็นรัฐโจร เป็นนักการเมืองโจร บริหารและปกครองบ้านเมือง รัฐบาลก็ใช้เวลานี้แหละโยนข้อหาพันธมิตรกบฏ เข้าให้บ้างจะเป็นไรไป

แล้วแปลงร่างจากราชสีห์ มาเป็นสุนัขป่า เป็นโจรตามที่เขากล่าวหา

รบแบบกองโจรนี่ ทั้งซุนวูและ เมาเซตุงเคยว่าไว้ รู้เรารู้เขา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครา เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตี

รบได้แบบนี้ ขนาดอเมริกายังพ่ายศึกเวียตนาม โจรภาคใต้ยังยื้อกับรัฐบาลได้

การรักษาอำนาจรัฐ ไม่ได้ด้วยเลห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา รบกับพันธมิตรและแนวร่วม ต้องใช้รูปแบบการรบแบบกองโจรในเมืองนี่แหละ

กองทหารถ้ากลายเป็นกองโจร นี่น่ากลัว รัฐบาลที่กลายเป็นกองโจร ยิ่งน่ากลัวกว่า

รบชนะแล้วอย่าลืมหลั่งน้ำตา แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วย ต่อหน้าประชาชนคนไทยและบรรดามิตรประเทศทั้งหลาย ฮา